นิสิต คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2 สาขาเเฟชั่นและสิ่งทอ
ผู้พิชิตทุนการศึกษา NABA Summer 2022 หลักสูตร Fashion Design
นิสิต คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2สาขาเเฟชั่นและสิ่งทอ
ผู้พิชิต ทุนการศึกษา NABA Summer 2022 หลักสูตร Fashion Design
นิสิต คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2 สาขาเเฟชั่นและสิ่งทอ
ผู้พิชิตทุนการศึกษา NABA Summer 2022 หลักสูตร Fashion Image & Styling
บัณฑิตจบใหม่ คณะศิลปกรรมศาสตร์สาขาศิลปะและการออกแบบ
มหาวิทยาลัยกรุงเทพผู้พิชิตทุนการศึกษา NABA Summer 2022 หลักสูตร Product Design
ในการเเข่งขันชิงทุนการศึกษา NABA SUMMER COURSES 2022 🏆ในปีนี้
ซึ่งทั้งสี่คน จะได้รางวัลเป็นทุนการศึกษาลดค่าเรียน 50% ของหลักสูตรซัมเมอร์
เเละน้องๆจะเดินทางไปเรียนที่สถาบันนาบา เมืองมิลาน เป็นเวลาสองอาทิตย์ในเดือนกรกฏาคมนี้
Blog นี้ พี่ ๆ DP ได้คัดสรร 5 อาร์ตแกลอรี่น่าไปเยือน ที่มีทั้งสถานที่สุดแมสและไม่แมส รอบเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) หรือใครอยากเรียกแบบฉบับชาวอิตาเลียนให้ออกเสียงพร้อมกันว่า ฟีเรนเซ (Firenze) ที่นอกจากจะเป็นเมืองอันโด่งดังทางประวัติศาสตร์แล้ว งานศิลปะและสถาปัตยกรรมของที่นี่ก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน อย่างผลงานชิ้นเอกที่ใครมาอิตาลีก็พลาดไม่ได้อย่าง ประติมากรรม
หินอ่อน เดวิด (David) ที่รังสรรค์โดยมือของ มิเคลันเจโล (Michalangelo) ศิลปินคนสำคัญของชาวอิตาเลียน ซึ่งที่นี่นับเป็น 1 ในอาร์ตแกลอรี่ที่พี่ ๆ กำลังจะพาทุกคนไปรู้จักในวันนี้ มาเริ่มกันเลย!
“The Academia Gallery” อาร์ตแกลอรี่สุดแมส หากใครมีโอกาสมาเยือนเมืองฟลอเรนซ์ ก็ควรซื้อบัตรมาชมสักครั้ง! หลาย ๆ คนคงมีคำถามในใจว่าทำไมพี่ ๆ DP ถึง Proudly to present ขนาดนี้ ก็ประติมากรรมหินอ่อน เดวิด (David) ที่ยืนเปลือยกายท่านนี้ นับเป็นผลงานชิ้นเอกของ มิเคลันเจโล ที่แสดงความรุ่งเรืองทางศิลปะในยุคเรเนซองส์ (Renaissance) นั่นเอง โดยคุณเค้าได้นำหินอ่อนสีขาวมาจากเมืองคาร์รารา (Carrara) มาแกะสลักรูปพระเจ้าเดวิดตามคำภีร์ไบเบิล ที่แสดงสรีระความแข็งแรงและงดงามของชายหนุ่ม โดยเปิดแสดงเป็นครั้งแรกที่เมืองฟลอเรนซ์ ก่อนภายหลังได้นำมาจัดโชว์ที่อาร์ตแกลอรี่แห่งนี้
“อุฟฟิซิ” อาร์ตแกลอรี่ตั้งอยู่ขอบของพื้นที่จัตุรัสเปียซซาเดลซิญญอเรีย (Piazza Della Signoria) แหล่งรวมประติมากรรมสุดเจ๋งของเหล่าศิลปินเอกชาวอิตาเลียนบนลานกลางแจ้ง ที่ตั้งอวดโฉมให้คนเดินผ่านไปมาได้ชมกันฟรี ๆ มาในส่วนของอุฟฟิซิ อาร์ตแกลอรี่แห่งนี้ได้เริ่มสะสมผลงานศิลปะมาอย่างยาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เลยทีเดียว! ซึ่งไฮไลท์ของที่นี่คือภาพเขียนสุดปราณีตที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง ภาพกำเนิดวีนัส (The Birth of Venus) เทพธิดาแห่งความรัก หรือเรียกตามภาษากรีกว่า อโฟรไดต์ (Aphrodite) โดยจิตรกรชาวอิตาเลียน ซานโดร บอตติเชลลี (Sandro Botticelli) นอกจากผลงานชิ้นนี้ ก็ยังมีผลงานที่โดดเด่นอื่น ๆ ถูกจัดแสดงไว้ภายในอาร์ตแกลอรี่แห่งนี้อีกมากมาย
สายแฟชั่น Must See! เพราะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้รอเติมเต็มแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่หลงไหลด้านแฟชั่น โดยเฉพาะการทำรองเท้า “Museo Salvatore Ferragamo” แห่งนี้เกิดขึ้นจากครอบครัว เฟอร์รากาโม (Ferragamo) ที่มาบอกเล่าเรื่องราวการสร้างแบรนด์รองเท้าผ่านภาพวาด ไปจนถึงแบบจำลองไม้ให้ผู้มาเยือนได้ชื่นชมกัน ส่วนไฮไลท์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดของแบรนด์ในช่วงทศวรรษที่ 1920 คงจะเป็นรองเท้าส้นตึกสีรุ้ง ที่ออกแบบอย่างปราณีตสวยงามให้กับ จูดี้ การ์แลนด์ (Judy Garland) ดาวเด่นจากยุคมิวสิคัลผู้โด่งดังจากหนังเรื่อง The Wizard of Oz ที่รอให้ทุกคนมายลโฉม นอกจากนี้ยังมีผลงานอื่น ๆ ที่น่าสนใจ รอให้ทุกคนตบเท้าเข้าไปค้นหาอีกเพียบ พี่ ๆ DP คอนเฟิร์ม
The Bargello อาคารสาธารณะเก่าแก่สุดเก๋าที่ผลิกโฉมจากสำนักงานตำรวจ มาเป็นที่จัดแสดงผลงานศิลปะของศิลปินชื่อดังอย่าง เดลนาเตลโล (Denatello) ยอดประติมากรแห่งยุคเรเนซองส์ (Renaissance) ผู้เป็นหนึ่งด้านงานประติมากรรมด้วยวัสดุหลากชนิด โดยเฉพาะงานหินอ่อนและสำริด นอกจากนี้ยังมีผลงานที่โดดเด่นอื่น ๆ กระจายกันจัดแสดงอยู่ตามห้องและโถงทางเดิน ซึ่งมีกลิ่นอายความโบราณจ๋า ที่รอให้ทุกคนมาสัมผัส
ปิดท้ายด้วยศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่คงกลิ่นอายความเป็นยุคเรเนซองส์ (Renaissance) ที่รองรับพื้นที่ไว้สำหรับจัด Art Exhibition ทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นงานเก่าแก่ของศิลปินอย่าง Leonardo ก็เคยมาจัดแสดงที่นี่! ไปจนถึงนิทรรศการของศิลปินชั้นนำที่แสดงผลงานสมัยใหม่ ก็ถูกเลือกสรรให้มารวมไว้ในพื้นที่แห่งนี้สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เรียกได้ว่าจัดมาแต่งานคุณภาพ นอกจากนี้ยังมีการจัดเวิร์คช็อปสำหรับคนที่สนใจเรื่องราวของการสื่อสารศิลปะร่วมสมัยเป็นโปรแกรมพิเศษไว้แล้ว ใครที่มีแพลนจะมา พี่ ๆ DP แนะนำให้ติดตาม Upcoming Events ไว้ให้ดี
“It’s up to you to make every day as perfect as possible
– it’s a question of will and discipline.”
“มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทำทุกวันให้เป็นวันที่เพอร์เฟกต์เท่าที่เป็นไปได้ไหม
มันคือคำถามถึงเรื่องความตั้งใจและความมีวินัย”
แน่นอนว่าในแต่ละเส้นทางอาชีพย่อมมีความยากง่ายแตกต่างกันออกไป ระหว่างเส้นทางอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งกว่าใครหลาย ๆ คนจะข้ามผ่านบททดสอบความสามารถไปได้ ก็ต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจไม่น้อย เช่นเดียวกันบุคคลนี้ ที่พี่ ๆ DP กำลังจะพาทุกคนไปรู้จักกัน
เขาคือ “ปู่คาร์ล” หรือ “คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์” (Karl Otto Lagerfeld) สุดยอดดีไซเนอร์สัญชาติเยอรมัน ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์แฟชั่นระดับโลกมาอย่างยาวนาน ใครจะไปรู้ว่าที่จริงแล้ว ปู่คาร์ลคนนี้ได้เรียนจบด้านประวัติศาสตร์ศิลปะจาก Lycée Montaigne ประเทศอิตาลี แต่เขาไม่เคยเรียนจบสายแฟชั่นจริงจังมากก่อน!
เส้นทางดีไซเนอร์ของปู่คาร์ลเริ่มจากความหลงไหลด้านการออกแบบและสเก็ตช์ภาพ เขาชื่นชอบการตัดรูปจาก Fashion Magazine ออกมาแปะเล่นตั้งแต่เด็ก ๆ และเดินสายเข้าประกวดการออกแบบมาตั้งแต่อายุประมาณ 14 ปี จากนั้นเอง เขาก็ทุ่มเทในการศึกษาเรื่องผ้านานกว่า 2 ปี จนได้ทำงานเป็นผู้ช่วยออกแบบครั้งแรกในปี 1955 ให้กับแบรนด์ Pierre Balmain จนมีลูกค้าเป็นเหล่าคนดังและผู้หญิงชั้นสูง
เฉิดฉายไม่หยุด! ต่อมาเขาได้ทำงานให้แบรนด์ชั้นนำอย่าง Jean Patou, Tiziano, Chloe, Curiel, Fendi, Valentino และที่ท้าทายตัวเขามากที่สุดคงจะเป็นการนั่งตำแหน่งผู้อำนวยการออกแบบให้กับแบรนด์ Chanel จนถึงวัย 85 ปี
สัญลักษณ์ Double C สุดเรียบง่าย ใครเห็นเป็นรู้จัก
เข้าสู่ความท้าทายในช่วงปี 1982 ที่เป็นช่วงอิ่มตัวของแบรนด์ Chanel พอดี ซึ่งก็ได้ อแลง แวร์ตไฮเมอร์ (Alain Wertheimer) ผู้ทาบทามให้เขามาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ปู่คาร์ลได้ตอบรับในทันที ในขณะเดียวกัน ใคร ๆ ก็ต่างบอกว่ายากนะ ที่จะทำให้แบรนด์กลับมาปัง แต่ผิดคาด เขาคนนี้สามารถกับมาสร้าง Product Iconic ให้กลายเป็นที่หมายปองของสาวหลาย ๆ คนได้สำเร็จ จากการคิดค้น Signature แบรนด์ให้เรียบง่ายกว่าเดิม อย่าง สัญลักษณ์ตัว C ไขว้ เพื่อให้แบรนด์เป็นที่จดจำได้นั่นเอง
“When I did H&M everyone said don’t do it and it worked.
When I took over Chanel everyone said to me don’t do it,
it’s dead, it doesn’t work, it worked.
So I better not listen to people and follow my instincts.”
“เมื่อตอนที่ผมทำ H&M ทุกคนบอกว่าอย่าทำ แต่ปรากฏว่ามันเวิร์ค
เมื่อผมเข้าสู่ Chanel ทุกคนก็บอกว่าอย่าทำ
มันตายแล้ว มันไม่เวิร์ค แต่มันเวิร์ค
ดังนั้นผมจึงเลิกฟังคนอื่น แล้วทำตามสัญชาตญาณของตัวเองดีกว่า”
น่าเสียดายที่ปู่คาร์ลได้ลาจากวงการแฟชั่นอันเป็นที่รักไปแล้ว แม้ตัวจะจากไป แต่ผลงานและแรงบันดาลใจของเขายังคงอยู่ เขาเป็นบุคคลตัวอย่างในเรื่องของความพยายามและมีวินัยในเส้นทางที่อยากจะไปจนประสบความสำเร็จ แม้จะเจอโจทย์ยาก ๆ แค่ไหน ก็ไม่เคยย่อท้อ แต่กลับคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุกและท้าทาย เรียกได้ว่า ปู่คาร์ลนี่เป็นตัวแทนของคนที่หลงไหลแฟชั่นอย่างแท้จริง
มาเปลี่ยนความฝัน ให้เป็นจริงกับ DP Education
หวังว่า Blog นี้จะสร้างแรงบันดาลใจไม่มากก็น้อย พี่ ๆ DP ขอเป็นกำลังใจให้สำหรับคนที่มีใจศึกษาต่อด้านแฟชั่น แต่ยังไม่มีพื้นฐาน หรือจบไม่ตรงสาย ทางเรามีคอร์ส Intensive จากสถาบันมารังโกนี่ (Istituto Marangoni) ไว้ช่วยผลักดันให้น้อง ๆ ที่หลงไหลด้านแฟชั่น ให้เข้าใกล้ความฝันมากขึ้น หากใครสนใจสามารถติดต่อผ่าน LINE Official ของ DP Education มาได้เลย!
เชื่อว่าการขั้นตอนการยื่นขอวีซ่า เป็นขั้นตอนที่ใครหลายคนคงมองว่ายุ่งยากและวุ่นวาย แต่ใน Blog นี้ พี่ ๆ DP ได้คัดสรรและรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนการยื่นขอวีซ่า และเอกสารที่จำเป็นอย่างละเอียด ฉบับเข้าใจง่ายมาไว้ให้ทุกคนแล้ว ไปเริ่มกันเลย!
เป็นที่รู้กันดีว่า VISA นั้นมีหลากหลายประเภท โดยจะขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการเดินทางไปของเราเอง ใน Blog นี้ พี่ ๆ จะเน้นไปที่การขอวีซ่านักเรียนระยะยาว ( Type D ) ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับนักเรียนที่เดินทางไปเพื่อศึกษาต่อที่อิตาลี เป็นระยะเวลาเกินกว่า 90 วัน โดยการขอ VISA จะยื่นขอก่อนเดินทางได้ไม่เกิน 90 วัน และไม่น้อยกว่า 2 อาทิตย์ก่อนการเดินทาง เท่านั้นนะ ไปดูกันเลย!
เริ่มกันที่ การเตรียมเอกสาร ที่ทุกคนต้องเตรียมให้ครบและพร้อมใช้งาน เพื่อการยื่นขอวีซ่าที่ราบรื่น ย้ำกันอีกครั้งนะ ว่าเอกสารต้องครบและพร้อมใช้งาน! โดยเอกสารที่เป็นภาษาไทยจำเป็นจะต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอิตาเลียน แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะพี่ ๆ DP เรามีแนะนำบริการแปลภาษา การหาที่พัก พร้อมแนะนำบริษัทประกันภัยในประเทศอิตาลีอีกด้วย
*** บอกไว้ก่อนเลย ว่าการยื่นขอวีซ่า Type D นี้ เอกสารที่เป็นภาษาไทย เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน หรือใบสูติบัตร จำเป็นจะต้องแปลให้เป็นภาษาอังฤษทั้งหมดนะ เราจะแปลเองก็ได้ โดย ดาวน์โหลดแบบฟอร์มสำเร็จรูป จากเว็บกรมการกงศุลได้เลย หรือจะไปที่ศูนย์การแปลและการล่ามเฉลิม พระเกียรติ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่หน่วยบริการรงานแปลและงานล่าม ห้อง 1308 ชั้น 13 อาคารบรมราชกุมารี โทร 0-2218-4635 ก็ได้
1. แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่า (ดาวน์โหลดเอกสาร) : การยื่นขอวีซ่า ผู้สมัครรจะต้องกรอกเอกสารให้ครบถ้วนเป็นภาษาอังกฤษ ลงวันที่และลายเซ็นด้วยยตนเอง โดยใหเ้หมือนลายเซ็นในหนังสือเดินทาง และหากในนกรณีผู้เยาว์ (อายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์) ให้ลงลายเซ็นโดยผู้ปกครอง
2. รูปถ่ายสี 2 ใบ : มาต่อกันที่รูปถ่าย ซึ่งจะต้องมีขนาดตามที่กำหนดดังนี้
3. หนังสือเดินทางปัจจุบันฉบับจริง : โดยจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังนี้
ต้องมีหน้าว่างในหนังสือเดินทางเหลืออย่างน้อย 2 หน้า
จะต้องมีอายุหนังสือเดินทางไม่น้อยกว่า 6 เดือน ณ วันที่ยื่นคำร้องขาวีซ่า
และจะต้องมีอายุอย่างน้อย 90 วัน หลังจากวันที่สิ้นสุดวีซ่าตามที่ระบุในคำร้องยื่นขอวีซ่า
4. สำเนาหนังสือเดินทาง 2 ชุด พร้อมลงลายเซ็น
5. สำเนาการจองตั๋วเครื่องบิน : เอกสารการจองตั๋วเครื่องบินขาไป- กลับที่ออกโดยสายการบินหรือบริษัทตัวแทน (แต่ถ้ายังไม่แน่ใจวันกลับ ก็สามารถแสดงตั๋วเครื่องบิน ขาไป อย่างเดียวก่อนได้นะ)
และข้อมูลจะต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นด้วย โดยจะต้องระบุช่ือผู้เดินทางที่ถูกต้องตามหนังสือเดินทาง
* พี่ ๆ แนะนาให้ทำการจองตั๋วเครื่องบินไว้ก่อนเท่านั้น ยังไม่ต้องชำระเงิน จนกระทั่งวีซ่าได้รับการอนุมัติแล้ว ค่อยชำระเงินภายหลังจะดีกว่า
6. ใบตอบรับจากสถานศึกษาในประเทศอิตาลี : โดยจะต้องระบุรายละเอียดดังนี้
– สถานศึกษาและโปรแกรมท่ีจะไปศึกษา
จำนวนวันที่จะอาศัยในประเทศอิตาลี
ใบยืนยันในการชำระค่าเล่าเรียน
* สําหรับใครที่ได้รับทุนการศึกษาในประเทศอิตาลี : จะต้องเตรียมจดหมายฉบับจริง โดยระบุรายละเอียดการให้ทุนการศึกษาอย่างชัดเจนจากสถาบันการศึกษาที่เป็นที่ยอมรับ
** เมื่อได้รับ VISA แล้ว ทางสถานทูตจะให้เอกสารใบตอบรับจากทางโรงเรียน พร้อมประทับตราสถานทูต ให้ทุกคนพกไปที่อิตาลีด้วยนะ สำคัญมาก ๆ เลย
7. หลักฐานการรจองที่พักหรือโรงแรม (กรณีสถานศึกษาไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายให้) : โดยจะต้องเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอิตาเลียนเท่านั้นนะ และต้องระบุชื่อผู้เข้าพักทุกคน, ที่อยู่ของโรงแรม/ ที่พัก
วันและระยะเวลาที่เข้าพักด้วย
8. หลักฐานแสดงสถานะทางการเงิน: โดยมีเงื่อนไขดังนี้
ต้องแสดงบัญชีย้อนหลัง 3 เดือน
ต้องมีการอัพเดตรายการเดินบัญชีย้อนหลังล่าสุด ไม่เกิน 7 วันนับจากวันที่ยื่นขอวีซ่า
จะใช้เป็น Bank Statement ที่ขแจากทางธนาคารโดยตรง หรือ Statement online หรือจะถ่ายสําเนําจากสมุดบัญชีเงินฝากก็ได้ และที่สำคัญต้องเป็นบัญชีออมทรัพย์ หรือกระแสรายวันที่ไม่ติดลบเท่านั้นด้วยนะ
9. ถ้ามีผู้ออกค่าใช้จ่าย (* ผู้ออกค่าใช้จ่ายต้องเป็นบิดา มารดา คู่สมรส พ่ีน้องสายเลือดเดียวกันเท่านั้น)
10. ถ้าเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา : ให้ทุกคนเตรียมขอหนังสือรับรองที่ออกโดยสถานศึกษาท่ีกำลังศึกษาอยู่ โดยต้องระบุชื่อและนามสกุลของเราเองให้ถูกต้อง, ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของสถานศึกษา และลายเซ็นผู้อนุมัติจากสถานศึกษา (* ต้องใช้เอกสารตัวจริงนะ และต้องมีอายุไม่เกิน 30 วัน นับจากวันที่ยื่นขอวีซ่าด้วยนะ)
11. ถ้าเป็นพนักงานหรือทํางานแล้ว: แบ่งออกเป็น 3 แบบ ด้านล่างเลย
12. ประกันการเดินทาง : ขาดไม่ได้เลยข้อนี้ พี่ ๆ แนะนำไว้ว่าควรมีประกันเพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง ซึ่งประกันการเดินทางเนี่ย จะต้องครอบคลุมระยะเวลาทั้งหมดท่ีเราอาศัยอยู่ในประเทศอิตาลี (กลุ่มประเทศเชงเก้น) และมีการระบุช่ือ-นามสกุล ที่ถูกต้องตามหนังสือเดินทาง ระบุวงเงินคุ้มครองขั้นต่า 30,000 ยโูร (1,500,000 บาท) และข้อตกลงคุ้มครองการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน และอย่าลืมว่าต้องมีทั้งตราปั้มและลายเซ็นจากบริษัทตัวแทนประกันด้วยนะ
13. ใบเปลี่ยนชื่อ (ถ้ามีนะ) : จะต้องเป็นเอกสารตัวจริงและถ่ายเอกสาร 1 ชุด พร้อมแปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษหรืออิตาเลียนอีกเหมือนเดิม
14. สุดท้ายคือ ตัง นั้นเอง ค่าใช้จ่ายในการขอ VISA นักเรียน จะอยู่ที่ 50 ยูโร แต่อัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงตลอด ค่า VISA ก็อาจจะเปลี่ยนตาม ถ้าอยากมั่นใจจริง ๆ พี่ๆ แนะนำให้โทรไปเช็ค
กับสถานทูตโดยตรงเลย
เมื่อเตรียมเอกสารพร้อมแล้ว ก็ไปลุยกันต่อเลย เราจะต้อง Walk in ไปที่สถานทูตอิตาลี (Italian Embassy) ซึ่งตั้งอยู่ที่
สถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย
ตึก ออลซีซั่นเพลส (All Season Place) อาคารซีอาร์ซี (CRC) ชั้น 27 โทรศัพท์ 02-250-4970 โทรสาร 02-250-4988 87
เปิดทำการ จันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึงเวลา 12.00 น.
และวันพฤหัสบดี เพิ่มช่วงบ่ายตั้งแต่เวลา 14.00 น. ถึงเวลา 16.00 น.
BTS ที่ใกล้ที่สุดก็คือ BTS เพลินจิต แต่ถ้าใครที่ขับรถไป ตึกออลซีซั่นนี้อยู่ที่ถนนวิทยุนะ ตึกใหญ่เลย รับรองว่าสังเกตเห็นง่ายแน่นอน
ก่อนจะจากกันไป พี่ ๆ อยากจะย้ำอีกครั้งว่า ควรเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและถูกต้องตามเงื่อนไขทั้งหมดด้านบนที่พี่คัดมาให้โดยเฉพาะ แต่ถ้าน้อง ๆ มีคำถามสงสัย หรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการขอวีซ่ารูปแบบอื่น บริษัทประกันภัยเดินทาง หรือข้อมูลอื่น ๆ ก็สามารถทักมาหาพี่ DP ทางไลน์ หรือจะโทรมาก็ได้นะ ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ สถานทูต และ VFS GLOBAL
หวังว่า Blog นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนนะ
นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่น้อง ๆ นักเรียนจะได้โอกาสฝึกงานกับบริษัทเเฟชั่นเเละออกเเบบชื่อดังในไทย 😉 “ต้า” กชภูมิ เอกนิรันดร นักเรียนที่พึ่งจบจากมหาวิทยาลัยมหิดล สาขา International Business ซึ่งต้าอยากจะเรียนต่อหลักสูตรป.โท สาขา Master in Luxury Brand Management กับเราที่สถาบันอีสติตูโตมารังโกนี่ เมืองปารีส ในเทอมตุลาคมปีนี้
เเต่ด้วยสถานการณ์โควิด19 ต้าจึงต้องเลื่อนไปเรียนเป็นปีหน้าแทน ซึ่งทางเรา มีคอนเนคชั่นในการฝึกงานกับหลายบริษัทเเฟชั่นเเละออกแบบชื่อดังในไทย เราจึงไม่รอช้าที่จะช่วยน้องต้า
ให้ไปฝึกงานที่เเบรนด์ Sretsis เเบรนด์เเฟชั่นสัญชาติไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปหลายประเทศทั่วโลก เพื่อเพิ่มประสบการณ์ทางด้านธุรกิจเเฟชั่นก่อนไปเรียนป.โท ที่สถาบันมารังโกนี่ ปารีสแคมปัส
เราหวังว่าต้า จะได้รับความรู้ของธุรกิจเเฟชั่นในทุกเเง่มุม ได้เห็นการทำงานเเบบมืออาชีพและเรียนรู้ทุกด้านของการออกเเบบ การตลาด การขาย การดูเเลลูกค้า ตลอดจนการพัฒนาสินค้า
จากการฝึกงานกับเเบรนด์ Seretsis ในสองเดือนนี้ครับ 👍🏼😊
ขอเเสดงความยินดีกับ “จัสมิน” ปาณิสรา ตันพิชัย ว่าที่นักเรียนสถาบันมารังโกนี่ ที่ได้รับเลือกเข้าฝึกงานในตำเเหน่ง Fashion Promotion(Pr) & Communication กับบริษัท Z Communication บริษัทเเฟชั่นพีอาร์เอเจนซี่ชื่อดังของไทย เป็นเวลา 3 เดือน(เเละจะฝึกต่อไปเป็นเวลา 6 เดือน😉) ซึ่งจัสมินได้เรียนรู้สายงานในหน้าที่ของการเป็น Fashion Pr เเบบมืออาชีพ
เเละตอนนี้เธอได้รับมอบหมายให้ดูเเลสองเเฟชั่นเเบรนด์ดังระดับโลก คือ saint laurent👔👗 เเละ Burberry🎩🧥
ตัวอย่างหน้าที่สำคัญที่จัสมินต้องทำในการฝึกงานพีอาร์ครั้งนี้ อาทิเช่น การได้เห็นเเละวิเคราะห์เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ของทั้งสองเเบรนด์ เเละจะต้องนำข้อมูลของในเเต่ละเเบรนด์มาเเปล
(ข้อมูลภาษาไทย) หลังจากนั้นจึงติดต่อเเละส่งข่าวทั้งหมดให้กับนักข่าวเเฟชั่นทั่วทุกสำนัก
เเม้ตอนนี้ เธอต้องทำตามมาตรการของบริษัทโดยการ Work From Home เเต่ก็ยังต้อง online-working อยู่ที่บ้านทุกวัน😊
เเละปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า(ต้องดูสถานการณ์ Covid19😅) จัสมินจะบินไปเรียนต่อหลักสูตรป.โท สาขา MA in Fashion Promotion Communication&Media กับเรา ที่สถาบันมารังโกนี่
มิลานแคมปัส ซึ่งเธอสามารถเอาความรู้ที่ได้จากการฝึกงานนี้ ไปเรียนต่อยอดได้อย่างดีเเละมีประสิทธิภาพ👍🏻☺️
เเละนี่คือคอนเนคชั่นที่สุดยอดของ DP Education เเละ Istituto Marangoni Information Center Thailand ที่ใครก็หาที่ไหนไม่ได้ นอกจากเรา😉
ขอเเสดงความยินดีกับ “พิมพ์” พิมพ์ชนก เลิศชัยอุดมโชค ว่าที่นักเรียนสถาบันมารังโกนี่ เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้รับเลือกเข้าฝึกงานในตำเเหน่ง Fashion Promotion(Pr) & Communication กับบริษัท Z Communication บริษัทเเฟชั่นพีอาร์เอเจนซี่ชื่อดังของไทย เป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งพิมพ์ได้เรียนรู้สายงานในหน้าที่ของการเป็น Fashion Pr เเบบมืออาชีพเเละตอนนี้เธอได้รับมอบหมายให้ดูเเลสองเเฟชั่นเเบรนด์ดังระดับโลก คือ Versace👗🥼 และ Ermenegildo Zegna👔🧥 ตัวอย่างหน้าที่สำคัญที่พิมพ์ต้องทำในการฝึกงานพีอาร์ครั้งนี้ อาทิเช่น การวิเคราะห์เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ของทั้งสองเเบรนด์ เเละจะต้องนำข้อมูลของเเต่ละเเบรนด์มาเเปล(ข้อมูลภาษาไทย)เเละเรียบเรียงการเขียนให้ถูกต้อง หลังจากนั้นจึงติดต่อเเละส่งข่าวทั้งหมดให้กับนักข่าวเเฟชั่นทั่วทุกสำนัก นอกจากนี้พิมพ์ยังต้องเรียนรู้ถึงการจัดอีเว้นต์ส่งเสริมการขายต่างๆ การจัดเเฟชั่นโชว์ การเปิดตัวสินค้า รวมไปถึง ศึกษาการดูเเลเเละเทคแคร์ VIP ของเเต่ละเเบรนด์อีกด้วย
เเม้ตอนนี้ เธอต้องทำตามมาตรการของบริษัทโดยการ Work From Home เเต่ก็ยังต้อง online-working อยู่ที่บ้านทุกวัน😊
ส่วนเป้าหมายหลักของพิมพ์ คือการเรียนต่อหลักสูตรป.โท สาขา MA in Fashion Promotion Communication&Media กับเรา ที่สถาบันมารังโกนี่ ลอนดอนแคมปัส
เเน่นอน เธอสามารถเอาความรู้ที่ได้จากการฝึกงานครั้งนี้ ไปเรียนต่อที่สถาบันมารังโกนี่ ได้อย่างดีเเละมีประสิทธิภาพ👍🏻☺️
เเละนี่คือคอนเนคชั่นที่สุดยอดของ DP Education เเละ Istituto Marangoni Information Center Thailand ที่ใครก็หาที่ไหนไม่ได้ นอกจากเรา😉
บทความนี้เรากำลังจะพาน้อง ๆ ที่กำลังสนใจไปเรียนไปรู้จักกับสาว “ฟาง” ณิชารัศม์ สิริพิทักโชติ ศิษย์เก่า DP Education ที่จะมาบอกเล่าประสบการณ์ฝึกงานกับค่าย Magazine ชั้นนำของประเทศไทยอย่าง Harper’s Bazaar ก่อนการเตรียมตัวไปเรียนต่อในคณะ BA Fashion Business Communication & New Media ที่สถาบันอิสติตูโต มารังโกนี มิลานเเคมปัส (Istituto Marangoni, Milan) กัน ฟางได้ไปเรียนต่อที่มารังโกนี่ในปี 2018-2019 ก่อนเตรียมตัวไปเรียนต่อฟางได้ฝึกงานกับ “พี่ดวง วรรณพร โปษยานนท์” จาก DP หรือเราจะรู้จักกันในนามบรรณาธิการบริหารนิตยสารแฟชันของฮาร์เปอร์ บาซาร์นั่นเอง เป็นเวลา 2 เดือน ก่อนกลับไปเรียนต่อขึ้นปีที่ 3 สิ่งที่ฟางได้เรียนรู้จากการฝึกงานก่อนไปเรียนต่อ