#DP Blog

อาชีพที่เกี่ยวข้องกับด้านศิลปะและการออกแบบนั้น เป็นอาชีพที่ได้รับความสนใจ และได้รับความนิยมสูงเป็นอย่างมาก ส่งผลให้มีวัยรุ่นหรือนักเรียนหลายคนที่มีความสนใจในด้านของศิลปะแฟชั่นการออกแบบเพิ่มกันมากขึ้น หลักสูตรทางด้านศิลปะ แฟชั่น การสร้างสรรค์และการออกแบบในปัจจุบันนี้มีหลากหลายหลักสูตรการเรียนออกมาให้เราได้เลือกตามความสนใจมากมาย หนึ่งในหลักสูตรที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากก็คือหลักสูตร Fashion Styling นั่นเอง เพราะเป็นอาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและครีเอทลุค เสื้อผ้าให้เหมาะสมกัน เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของเสื้อผ้าให้ออกมาตอบโจทย์ตามยุคสมัยมากที่สุด วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับอาชีพนี้ให้มากยิ่งขึ้น จะเป็นอย่างไรกันบ้างนั้น เราลองไปติดตามพร้อมกันได้เลย 

หลักสูตร Fashion Styling คืออะไร?

หลักสูตร Fashion Styling คือ การเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับด้านแฟชั่น ศิลปะและการออกแบบเสื้อผ้าในรูปแบบต่างๆ จัดแต่งองค์ประกอบของแฟชั่นได้อย่างเหมาะสม ดูดีและน่าประทับใจมากที่สุด ตรงตามโจทย์ของลูกค้าหรือแบรนด์ และสามารถถ่ายทอดเรื่องราวของเสื้อผ้าได้เข้าใจง่ายที่สุด โดยจะต้องมีการเรียนทั้งในเรื่องของ Style ของเสื้อผ้าในรูปแบบต่างๆ รู้จักโครงสร้างของเสื้อผ้าหรือชุดในแบบต่างๆ วิวัฒนาการของเสื้อผ้าในแต่ละยุคสมัย คู่สีที่เหมาะสม วิเคราะห์เทรนด์แฟชั่น ออกแบบเสื้อผ้าให้มีการเล่าเรื่องที่สอดคล้อง วิเคราะห์ส่วนประกอบ ของ การแต่งกายในประวัติศาสตร์ ในแต่ละยุค จนถึงปัจจุบัน เพื่อนำมาสร้างเป็นพื้นฐานให้กับตัวเราเองในการทำงาน และเป็นแรงบันดาลใจ สามารถผสมผสาน เพื่อทำการออกแบบแฟชั่นที่มี Style เป็นของเราได้อย่างมีเอกลักษณ์ มีความโดดเด่น เพื่อนำไปต่อยอดต่อไปได้ในอนาคต

เรียนจบหลักสูตรแล้วสามารถทำงานในด้านไหนได้บ้าง

• Fashion stylist
• ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์/การออกแบบสร้างสรรค์
• Fashion Photographer ช่างภาพฝ่ายแฟชั่น 
• Costume designer ผู้ออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย 
• ที่ปรึกษาด้านแฟชั่นแอนิเมชั่น
• ที่ปรึกษาด้านการเล่าเรื่อง
• ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสร้างสรรค์

เนื้อหาในการเรียนที่น่าสนใจ

• Personal Styling เป็นการเรียนรู้ในเรื่องของการแต่งตัวให้เหมาะสมกับลุคของตัวเราเอง เข้าใจลักษณะรูปร่างแบบต่างๆ ของร่างกาย สามารถแก้ไขจุดบกพร่องได้ดี ปรับให้ดูดีมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น เข้าใจเทรนด์แฟชั่นใหม่ๆ และเรียนรู้ทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับแฟชั่น
• เรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างชุด เสื้อผ้า สีต่างๆ ที่เหมาะสม วิเคราะห์ส่วนประกอบต่างๆ ของชุดได้ เรียนรู้ประวัติศาสตร์เสื้อผ้าหรือเครื่องแต่งกายในแต่ละยุคสมัย
• Make up ทำความรู้จักกับเครื่องสำอางในรูปแบบต่างๆ เนื้อของผลิตภัณฑ์ เทรนด์ในการต่างหน้าในแต่ละช่วงยุคสมัยมาจนถึงเทรนด์ในปัจจุบัน เข้าใจโทนที่เหมาะกับสีผิวต่างๆ  และจับคู่การแต่งหน้าได้ลงตัว
• Media Styling เรียนรู้การตีความ การสื่อความหมายของแบรนด์ องค์ประกอบการจัดวาง เพื่อนำเสนอสินค้า
• Porfolio Photoshoot เรียนรู้การถ่ายทำในสตูดิโอ ตามรูปแบบและคอนเซปต์ที่ได้วางไว้ 

แนะนำ 3 หลักสูตร ของทาง Istituto Marangoni

1. Fashion Design: Womenswear /Menswear เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นในการออกแบบแฟชั่นเครื่องต่างกายและเสื้อผ้าของทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่เรียนในหลักสูตรนี้มีความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายสตรีและเครื่องแต่งกายบุรุษมากยิ่งขึ้น เข้าใจการเปลี่ยนแปลงในสังคมร่วมสมัย ความคิดสร้างสรรค์และการมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรียนรู้ในเรื่องของการตัดเย็บ เข้าใจในเรื่องของร่างกายในแต่ละเพศสภาพและสามารถทำการออกแบบเครื่องแต่งกายและเสื้อผ้าที่ตอบโจทย์ได้สวยงาม และเหมาะสมกับการใช้งาน

2. Fashion Styling: Creative Direction & Digital Content เป็นหลักสูตรที่สอนในเรื่องของการนำภาพมาสื่อสารแนวความคิดของการออกแบบแฟชั่นและเสื้อผ้าในรูปแบบต่างๆ เรียนรู้เกี่ยวกับจุดสำคัญของการจัดแต่งทรงแฟชั่น ออกแบบและสร้างสรรค์ผลงานแฟชั่นได้ถูกกาลเทศะ มีความสวยงามและสื่อสารเรื่องราว เรียนรู้ในเรื่องของการวิเคราะห์เทรนด์แฟชั่น การเล่าเรื่อง และบริบทแฟชั่นร่วมสมัย ทักษะในการสร้างแรงบันดาลใจสร้างการตอบสนองทางอารมณ์ สามารถเจรจาและวางแผนกระบวนการทางเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ยังจะได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับภาพเคลื่อนไหวเพื่อนำมาปรับใช้กับการทำงานได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

3. Fashion Business: Fashion & Luxury Brand Mangement เป็นหลักสูตรที่มีการเรียนรู้ในเรื่องของการสร้างแบรนด์โดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่น และสินค้าหรูหราที่มีราคาสูง เข้าใจตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ที่ทำการออกแบบ เรียนรู้และทำความเข้าใจในเรื่องของบทบาทของผลิตภัณฑ์ในตลาดเป็นอย่างดี สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ เรียนรู้วิธีการปรับใช้เทคนิคการสื่อสาร การตลาด และการส่งเสริมการขายเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การวางกลยุทธ์ของธุรกิจได้ดีที่สุด วิเคราะห์องค์ประกอบที่จับต้องได้ คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ (คุณภาพ คุณสมบัติ และการออกแบบ) ความแตกต่างของเอกลักษณ์และภาพลักษณ์ของแบรนด์ วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายและส่วนผสมทางการตลาด เพื่อที่จะนำมาต่อยอดในธุรกิจได้ต่อไป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับแนวความรู้ดีๆ ที่เรานำมาฝากกันของหลักสูตรนี้ ดีอย่างไร การเรียนหลักสูตรนี้ ถือเป็นหลักสูตรที่พัฒนาในเรื่องของการออกแบบในรูปแบบต่างๆ จนสามารถนำไปต่อยอดในการทำงานสายแฟชั่นการออกแบบได้เป็นอย่างดี และที่ Istituto Marangoni ก็เป็นสถาบันที่มีความโดดเด่นในเรื่องการเรียนการสอนในเรื่องของแฟชั่นและการออกแบบอย่างมากในประเทศอิตาลีที่เป็นศูนย์กลางแฟชั่นของโลก ซึ่งหากใครที่มีความสนใจที่อยากจะเรียนต่อที่ Istituto Marangoni แต่ยังไม่รู้ควรเริ่มต้นอย่างไรก็สามารถ มาปรึกษาได้ทางนี้เลย

บางคนนั้นอาจจะมีความฝันที่อยากจะทำงานในเรื่องของการออกแบบและตกแต่ง หนึ่งในอาชีพที่หลายคนให้ความสนใจมากในปัจจุบันก็คืออาชีพ ดีไซเนอร์ นั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่าอาชีพนี้นั้นจะเป็นเรื่องง่าย เพราะการออกแบบไม่ใช่เพียงแต่ความสวยงามเท่านั้น ยังมีองค์ประกอบและปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย การทำงานสายนี้นั้นยังต้องแฝงความเป็นตัวตนของเราเข้าไปให้ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับอาชีพนี้กันให้มากยิ่งขึ้นในเรื่องของการอยากเป็นดีไซน์เนอร์ ต้องเรียนคณะอะไร จะมีเรื่องอะไรน่ารู้และน่าสนใจบ้างนั้น เราลองไปติดตามและศึกษาเพิ่มเติมไปพร้อมกันต่อไปได้เลย 

อาชีพดีไซเนอร์ คืออะไร ?

อาชีพที่ต้องทำการสร้างสรรค์ ออกแบบ และตกแต่งสิ่งต่างๆ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีความสวยงาม มีเอกลักษณ์ โดดเด่น มีการแฝงความเป็นตัวตนของเราเข้าไป รวมไปถึงยังต้องมีการศึกษา และวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาออกแบบหรือเลือกวัสดุที่จะนำมาใช้ให้เหมาะสมกับแฟชั่น และยุคสมัย เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าหรือสามารถทำให้ธุรกิจเจริญเติบโตต่อไป

ขั้นตอนในการทำงาน

ทำการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งความคิด ความต้องการข้อมูลที่เป็นสัดส่วนจากลูกค้าหรือผู้ที่ทำการว่าจ้างเรา

1. ศึกษารูปแบบลักษณะของการทำงานที่มีอยู่ ศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำรูปแบบเหล่านั้นมาดัดแปลงหรือนำมาทำใหม่ เพื่อลดระยะเวลาในการทำงาน และยังช่วยลดในเรื่องต้นทุนของการผลิตได้ควบคู่กันไป

2. ทำการออกแบบร่างแบบคร่าวๆ โดยแบบที่ร่างจะต้องมีความครอบคลุมกับแนวคิดให้มากที่สุด เพื่อให้ได้งานที่ออกมาตามความต้องการ

3. นำแบบที่ร่างมาให้กับลูกค้า หรือผู้ว่าจ้างทำการพิจารณาอีกครั้ง เพื่อร่วมกันหาแนวทางเพิ่มเติมในการปรับปรุง พัฒนา และช่วยกันประเมินในเรื่องของวัตถุดิบและราคา

4. นำแบบที่ร่างและปรับแก้แล้ว มาสร้างเป็นแบบ (Pattern) ใส่รายละเอียดในส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เขียนภาพและอธิบายวิธีการทำให้ละเอียด และชัดเจนที่สุด เพื่อที่ช่างจะสามารถทำตามแบบได้ง่ายยิ่งขึ้น 

5. ส่งแบบ และสินค้าทดลองให้กับผู้ว่าจ้าง หรือลูกค้าพิจารณาอีกครั้ง เพื่อแก้ไขสิ่งบกพร่องเป็นครั้งสุดท้าย

6. นำแบบที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้ว่าจ้าง และลูกค้าแล้ว ประสานงานกับช่างผลิตเพื่อทำการผลิตสินค้าออกมาให้ได้ตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุด 

ต้องเรียนคณะอะไร

สำหรับคนไหนที่อยากทำงานสาขานี้ แต่ยังไม่รู้ว่าเรียนคณะอะไรดี ซึ่งคณะที่มีการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับอาชีพนี้มีดังนี้

– คณะศิลปกรรมศาสตร์
– คณะศิลปศาสตร์
– คณะมัณฑนศิลป์
– คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
– คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์
– คณะศิลปะและการออกแบบ
– คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์
– คณะอุสาหกรรมสิ่งทอและการออกแบบแฟชั่น
– คณะวิจิตรศิลป์

ซึ่งแต่ละคณะที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นก็จะมีการแบ่งแยกสาขาการเรียนที่เกี่ยวข้องกับอาชีพการออกแบบ ออกไปอีกมากมายหลายสาขา ซึ่งการออกแบบนั้นก็มีทั้งการออกแบบสิ่งของ เสื้อผ้า เครื่องใช้ สิ่งทอรวมไปถึงการออกแบบอาคาร บ้านเรือน และการออกแบบภายในอีกด้วย

อาชีพนี้ เงินเดือนเท่าไหร่? 

เงินเดือนจะขึ้นอยู่กับสาขาที่เลือก และอาชีพการออกแบบที่เลือกทำงาน ซึ่งแต่ละประเภทก็จะส่งผลให้มีเงินเดือนที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น

– Fashion design เงินเดือนเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 15,000-70,000 บาท โดยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ การทำงาน และสถานที่ในการทำงานร่วมด้วย และหากทำงานในต่างประเทศ ผู้ช่วยเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 55,000 บาทและดีไซเนอร์ อยู่ที่ 110,000 – 380,000 บาท

– Graphic Designer เงินเดือนเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 27,000-90,000 บาท ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และหากทำงานในต่างประเทศจะมีเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 66,000 บาท และหากมีประสบการณ์จะได้มากถึง 110,000-220,000 บาท และยังสามารถได้มากสุดถึง 270,000 บาทเลยทีเดียว 

– Interior Design เงินเดือนเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 25,000 – 65,000 บาท และหากทำงานในต่างประเทศจะมีเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 92,000 – 200,000 บาท

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับความรู้ในเรื่อง ต้องเรียนคณะอะไร ซึ่งถ้าหากใครที่มีความสนใจอยากเรียนต่อสาขาที่เกี่ยวข้อง หนึ่งในประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านนี้ก็คือที่ ประเทศอิตาลีนั่นเอง และถ้าหากอยากเรียนต่อที่สถาบันในประเทศอิตาลี แต่ยังไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร เตรียมอะไรบ้างก็สามารถปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย https://dp-education.com/ 

เชื่อว่าวัยรุ่นหลายคนในสมัยนี้หันมาให้ความสนใจกับการเรียนทางด้านออกแบบ และการตกแต่งกันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในสาขาที่เกี่ยวกับด้านนี้ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และมีความหลากหลายก็คงหนีไม่พ้นกับสาขา Graphic Design โดยการเรียนในสาขานี้นั้น สามารถนำไปต่อยอดในอาชีพที่แตกต่างกัน เพราะเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานที่ต้องมีความผสมผสานระหว่างศิลปะ และเทคโนโลยี ในการสร้างสรรค์ผลงานออกมา โดยมีเป้าหมายของการสื่อสารทางภาพ ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ ทั้งการสื่อความคิดผ่านองค์ประกอบภาพ สี รูปแบบตัวหนังสือ เพื่อสร้างความรับรู้แก่ผู้รับสารได้อย่างตรงเป้าหมาย ได้ใจความตรงกับที่ต้องการสื่อออกไป จึงทำให้สามารถนำไปประกอบอาชีพได้หลากหลาย วันนี้เราจึงพาทุกคนมาทำความรู้จักกับหลักสูตรนี้ให้มากขึ้น ต่อยอดเป็นอาชีพอะไรได้บ้าง จะมีอาชีพอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้นเราลองไปดูพร้อมกันต่อจากนี้ได้เลย

หลักสูตร Graphic Design คืออะไร?

คือหลักสูตรที่มีการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบหรือทำการสร้างสรรค์ผลงาน ที่สามารถสื่อสารความคิดของสิ่งต่างๆ ผ่านภาพและตัวอักษร ทำให้ผู้ชมรับสารได้อย่างรวดเร็ว เข้าใจง่าย สวยงาม ดูทันสมัย และได้ผลลัพธ์ตรงตามวัตถุประสงค์ของสิ่งที่ต้องการนำเสนอ โดยใช้การผสมผสานระหว่างด้านศิลปะ และด้านเทคโนโลยีเข้ามาร่วมกัน และจะต้องทำงานออกมาให้ตรงกับที่ลูกค้าบรีฟได้มากที่สุดอีกด้วย

หลักสูตรกราฟิกดีไซน์ ต่อยอดเป็นอาชีพอะไรได้บ้าง

Marketing & Advertising Graphic Designers มีการทำงานในด้านการสร้างกราฟิกสำหรับงานโฆษณา โบรชัวร์ ฉลากของผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ เพื่อการขายและดึงดูดผู้บริโภคให้มีความสนใจ

Packaging Designer มีหน้าที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะต้องทำการขาย หรือแจกจ่ายให้กับลูกค้า ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์หรือฉลากสินค้า ให้ดูสวยงามและน่าดึงดูด

Animation Designer มีหน้าที่ในการออกแบบ และควบคุมกระบวนการในการสร้างภาพกราฟิกที่เคลื่อนไหวได้จากภาพนิ่ง เช่น การถ่ายภาพ วาดภาพ ตัดต่อ หรือใช้ CG โดยจะต้องใช้เทคโนโลยีและซอร์ฟแวร์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องทำงานร่วมกับ Art director หรือทีมแอนิเมชันด้วย

Branding Designer มีหน้าที่ในการสร้างแบรนด์หรือภาพลักษณ์ รวมทั้งสร้างเอกลักษณ์ให้กับบริษัท เช่น โลโก้ การผสมผสานของคู่สี ฟ้อน ไปจนถึงภาพรวมของ CI ให้โดดเด่นและมีความแตกต่างมากที่สุด ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นในด้านธุรกิจและเพิ่มความต้องการของตลาดได้

Web Designer มีหน้าที่ในการเขียนโค้ด HTML/CSS หรือใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์ เพื่อออกแบบเลย์เอาท์ให้ออกมาดูดี ดูสวยและน่าสนใจ สามารถใช้งานได้ทุกขนาดของจอภาพ และกระตุ้นยอดการใช้งานเว็บไซต์ได้เพิ่มขึ้น

อยากเรียนที่สถาบัน NABA มีหลักสูตรอะไรให้เรียนบ้าง?

ที่สถาบัน NABA ซึ่งเป็นสถาบันที่มีการเรียนการสอนในด้านศิลปะ และการออกแบบของประเทศอิตาลี ที่นี่มีการสอนในด้านการออกแบบที่ดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ระบบการเรียนการสอนจะเน้นในเรื่องการผสมผสานระหว่างการเรียนในห้องเเบบททฤษฎี และการเรียนในเชิงปฏิบัติ มีการทำกิจกรรมกลุ่ม การทำ Workshop และมีโอกาสได้ทำโปรเจคการออกแบบร่วมกับบริษัทชั้นนำของประเทศอิตาลีด้วย ซึ่งที่สถาบัน NABA นั้นมีหลักสูตรทอีกหลากหลายหลักสูตรที่น่าสนใจมากมายดังนี้

• หลักสูตรปริญญาตรี 3 ปี ยกตัวอย่างสาขาในหลักสูตรนี้ คือ Graphic Design and Art Direction, Painting and Visual Arts, Design, Creative Technologies, Fashion Design, Set Design, และ Media Design and Multimedia Art เป็นต้น

• หลักสูตรปริญญาโท 1 ปี ยกตัวอย่างสาขาในหลักสูตรนี้ คือ Sustainable Innovation Communication, Fashion Digital Marketing, Creative Advertising, Photography and Visual Design, Art and Ecology, Business Law for Fashion System, Contemporary Art Markets, New Urban Design และ Italian Design เป็นต้น

• หลักสูตรปริญญาโท 2 ปี ยกตัวอย่างสาขาในหลักสูตรนี้ คือ Product & Service Design Fashion and Costume Design, Interior Design, Textile Design, New Technologies For Arts, Digital and Live Performance, Visual Design & Integrated Marketing Communication, Product Design & Service Design, Creative Media Production, และ User Experience Design เป็นต้น

• หลักสูตร Summer ยกตัวอย่างสาขาในหลักสูตรนี้ คือ Design, Fashion Design, Communication and Graphic Design, Visual Arts, Media Design and New Technologies, และ Visual Arts เป็นต้น

• หลักสูตร Online ยกตัวอย่างสาขาในหลักสูตรนี้ คือ Interior Design For Hotels, Interior Design II, Fashion Image & Styling I, Fashion Image & Styling II, และ Interactive Storytelling เป็นต้น 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับข้อมูลดีๆในเรื่อง หลักสูตร Graphic Design ต่อยอดเป็นอาชีพอะไรได้บ้าง ที่เรานำมาฝากกัน โดยหลักสูตรนี้ก็สามารถนำไปต่อยอดในอาชีพต่างๆ ได้อีกมากมาย ซึ่งหากใครที่สนใจการเรียนหลักสูตรกราฟิกดีไซน์ ที่สถาบัน NABA แต่ยังไม่มีข้อมูลที่สำคัญและยังไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรดี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย https://dp-education.com/ 

การเรียนต่อต่างประเทศ นับเป็นความฝันของหลายคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ ศึกษาหาความรู้ เพื่อคว้าโอกาสในการเติบโตในสายงานที่สนใจ ซึ่งสายงานแฟชั่นเป็นอีกหนึ่งสายที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน แต่การเรียนต่อต่างประเทศนั้น ก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงเช่นกัน จึงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับหลายครอบครัว ทำให้ “ทุนเรียนต่อต่างประเทศ” กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อคให้ความฝันเป็นจริงได้ วันนี้เราจะพามาดู How to ขอทุนในสายแฟชั่น จะต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ไปดูเลย!

ค้นหาตัวเองให้เจอก่อน

ก่อนที่จะเริ่มต้นไปขอทุน ต้องหาตัวให้เจอ กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการอะไร สนใจศึกษาต่อด้านไหน มหาวิทยาลัยในประเทศไหน เพื่อช่วยกรองตัวเลือกการขอทุนให้แคบลง และตรงกับความต้องการมากขึ้น

ศึกษาข้อมูลของ ทุนเรียนต่อต่างประเทศ 

ต้องรู้จักทุนหลากหลายประเภท และต้องศึกษาว่าแต่ละประเภทมีเงื่อนไข สิทธิประโยชน์ และคุณสมบัติที่แตกต่างกันอย่างไร โดยควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย เลือกทุนที่ตรงกับโปรไฟล์ และความต้องการมากที่สุด ซึ่งสามารถมองหาแหล่งข้อมูลของทุนจากเว็บไซต์ต่างๆ เช่น เว็บไซต์มหาวิทยาลัยที่คุณสนใจ ทุนรัฐบาลต่างประเทศ หรือเว็บไซต์รวบรวมทุนการศึกษา เป็นต้น

เตรียมตัวให้พร้อม เพิ่มศักยภาพให้แน่น

ทุนเรียนต่อส่วนใหญ่ มักพิจารณาการให้ทุนจากผลการเรียน หลักสูตร ทักษะภาษา กิจกรรม ผลงาน และจดหมายแสดงเจตจำนง โดยผู้ที่ต้องการสมัครควรเตรียมตัวให้พร้อม เพิ่มศักยภาพให้แน่น ดังนี้

• รักษาผลการเรียนให้ดี ทำให้ตัวเองมีผลการเรียนเฉลี่ยที่สูง
• เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีประสบการณ์หลากหลาย
• พัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ
  ให้ได้คะแนนสอบตามเกณฑ์ที่ทุนการศึกษานั้นกำหนดไว้
• เตรียมผลงานที่แสดงถึงความสามารถและศักยภาพของคุณ
  เช่น ผลงานวิจัย รางวัลต่างๆเป็นต้น
• เขียนจดหมายแสดงเจตจำนง (Statement of Purpose) โดยอธิบายเป้าหมาย
  แรงบันดาลใจ ความมุ่งมั่น และความเหมาะสมที่จะได้รับทุนของคุณ

เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน

ในแต่ละทุนการศึกษา จะมีเอกสารที่ต้องเตรียมแตกต่างกันออกไป โดยควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน และตรงตามกำหนดเวลา ซึ่งเอกสารทั่วไปที่มักต้องใช้

• ใบสมัคร
• ผลการเรียน
• จดหมายแสดงเจตจำนง (Statement of Purpose)
• จดหมายแนะนำตัว (Recommendation Letter)
• ผลงาน
• ใบรับรองต่างๆ
• เอกสารอื่นๆ ตามที่ทุนกำหนด

ยื่นใบสมัครทุนด้วยความมั่นใจ

เมื่อเตรียมตัวและเอกสารครบถ้วนแล้ว  ให้ยื่นสมัครขอทุนผ่านช่องทางที่กำหนดอย่างมั่นใจ อย่าลืม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้องครบถ้วน เตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ (หากมี) แสดงความมั่นใจ ตอบคำถามอย่างตรงประเด็น แสดงให้คณะกรรมการเห็นถึงความตั้งใจและศักยภาพของคุณ

รอผลเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับก้าวต่อไป

หลังจากยื่นใบสมัครทุนการศึกษาแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักการอดทน เพื่อรอผลความคืบหน้าจากทางมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานที่ให้ทุน โดยต้องเตรียมตัวเผื่อไว้สำหรับกรณีต่างๆ ดังนี้

• กรณีได้รับทุน : ต้อง เตรียมเอกสารเพิ่มเติม กรอกใบสมัครทุน เตรียมตัวสำหรับการเดินทาง และเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศที่ไปศึกษาต่อ
• กรณีไม่ได้ทุน : ต้องวิเคราะห์จุดอ่อน พัฒนาทักษะ เตรียมตัวสมัครทุนอื่นๆ หรือหาวิธีการอื่นเพื่อให้สามารถทำการไปศึกษาต่อต่างประเทศได้

ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการสมัครขอทุน

• การสมัครทุนหลายทุนจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับทุน
• ต้องมีการเตรียมแผนสำรองเผื่อไว้กรณีไม่ได้ทุน
• ปรึกษาคนที่เคยได้รับทุนหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาต่อต่างประเทศ
• ศึกษาข้อมูล เงื่อนไข เกี่ยวกับทุนนั้นอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจขอทุน
• เมื่อได้ทุกนตามที่หวัง ต้องตั้งใจเพื่อเป้าหมายสูงสุดของคุณเอง

สำหรับการขอทุนเรียนต่อต่างประเทศ เปรียบเหมือนการแข่งขัน ที่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ตั้งใจทำผลงาน แสดงให้คณะกรรมการเห็นถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพของคุณ เพื่อให้มีโอกาสคว้าทุนและก้าวสู่ฝันการเรียนต่อต่างประเทศได้สำเร็จสมใจ และหากใครที่กำลังมองหาทุนที่น่าสนใจ สามารถดูข้อมูลหรือขอแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ DP Education ที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องทุน และยังมีทุกเรียนต่างประเทศให้เลือกจาก 3 สถาบันชั้นนำ ทั้ง Istituto Marangoni , Domus Academy และ NABA ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความน่าสนใจ และน่าสมัครเข้าไปชิงทุนอย่างมาก ลองเข้าไปติดต่อหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://dp-education.com/scholarship/ หรือ สอบถามพูดคุยกับพี่ๆได้ที่ line : @dpeducation

สมัยนี้หลายคนหันมาให้ความสนใจในเรื่องของการศึกษาต่อด้านศิลปะและการออกแบบกันเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง หนึ่งในสาขาทางด้านศิลปะ ที่ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ แต่ยังมีการเรียนรู้ในด้านของการออกแบบ และเติมเต็มการรับรู้ให้กับผู้ชมด้วยอีกด้วย ก็คือการเรียนในด้าน Fine and Applied Arts นั่นเอง หนึ่งในสถาบันอันดับต้นๆ ของประเทศอิตาลีที่โดดเด่นในด้านนี้ก็คือสถาบัน NABA นั่นเอง แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าสถาบันนี้คืออะไร วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสถาบันนี้ให้มากขึ้นกับสถาบันชั้นนำที่ใครๆ ก็อยากไปเรียนต่อ จะมีอะไรน่าสนใจบ้างนั้นไปดูกันต่อได้เลย

ทำความรู้จักกับสถาบัน NABA 

สถาบันชั้นนำที่ก่อตั้งในปี 1982 ที่เมืองมิลาน ในประเทศอิตาลี ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Frame Publisher ให้เป็นสถาบันที่มีการสอนในด้านการออกแบบที่ดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งเป็นสถาบันที่มีการเรียนการสอนในด้านศิลปะและการออกแบบของประเทศอิตาลี โดยสถาบันนี้จะโดดเด่นเป็นอย่างมากในสาขาวิชา Fine & Applied Arts ที่สถาบันมีระบบการเรียนการสอนที่เน้นในเรื่องของการผสมผสานระหว่างการเรียนในห้องเเบบทฤษฎี และการเรียนในเชิงปฏิบัติ มีการทำกิจกรรมกลุ่ม การ Workshop และได้รับโอกาสดีๆ ในการทำโปรเจคการออกแบบร่วมกับบริษัทในด้านการออกแบบชั้นนำของประเทศอิตาลี

นอกจากนี้สถาบันยังผ่านการรับรองโดยสํานัก ก.พ. ของทางประเทศไทยและกระทรวงศึกษาธิการแห่งประเทศอิตาลี (Italian Ministry of Education, Universities and Research – MIUR) อีกด้วย โดยทุกคนที่สนใจก็สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถาบันได้ทาง https://dp-education.com/naba/ ที่นี่เลย

สาขา Fine & Applied Arts คืออะไร?

กลุ่มสาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ (Fine and Applied Arts) เป็นหนึ่งในสาขาของคณะศิลปกรรมศาสตร์ ซึ่งจะใช้ชื่อว่าศิลปบัณฑิต (Bachelor of Fine Arts) เป็นการเรียนในด้านของศิลปะการออกแบบและเติมเต็มการรับรู้ให้กับผู้ชมในแต่ละด้าน อาทิเช่น ด้านศิลปะ ด้านเทคโนโลยี ด้านการถ่ายรูปและการถ่ายภาพยนตร์ ด้านการออกแบบภายใน ด้านดุริยางคศาสตร์ ด้านการละครหรือนาฏศาสตร์ และด้านจิตรกรรม ประติมากรรม เป็นต้น

สถานที่ตั้งของสถาบัน

สถาบัน Nuova Accademia di Belle Arti เป็นสถาบันที่มีความโดดเด่นในด้านศิลปะและการออกแบบ มี campus ใน 2 เมืองหลักๆ คือ เมืองมิลาน ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ห่างจากวิหาร Duomo เพียง 3 กิโลเมตร เป็นสถาบันเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี มีตึกเรียนทั้งหมด 13 ตึก พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และกรุงโรม ที่เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เป็นเมืองแห่งศิลปะ และสถาปัตยกรรม ซึ่งทั้ง 2 เมืองนี้เป็นเมืองชั้นนำในเรื่องของงานศิลปะ แฟชั่นและการออกแบบของประเทศอิตาลีด้วย 

หลักสูตรที่เปิดสอน

ทำการเปิดสอนในด้านศิลปะและการออกแบบในหลากหลายหลักสูตรตั้งแต่ หลักสูตรระดับปริญญาตรี หลักสูตรระดับปริญญาโท และหลักสูตรแลกเปลี่ยนหรือ Summer นั่นเอง มีทั้งคอร์สเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษและภาษาอิตาเลียน ซึ่งที่สถาบันนี้มีหัวใจหลักคือ Learning by thinking, learning by doing และ teaching by learning เป็นการเรียนการสอนที่เน้นในภาคของการปฏิบัติ ยึดถือการถ่ายทอดความรู้ทางด้านการออกแบบในรูปแบบของทางอิตาลีอย่างแท้จริง แต่ก็จะสอนควบคู่ไปกับการนำความรู้ร่วมสมัยมาทำการประยุกต์ใช้งาน เป็นการเรียนที่เสมือนการทำงานจริงกับบริษัทชั้นนำต่างๆ ทั้งอิตาลีและนานาชาติ และที่สำคัญนักเรียนยังมีโอกาสดีๆในการฝึกงานหรือทำโปรเจคร่วมกับบริษัทชั้นนำ เช่น Diesel, L’Oreal Paris, Martini, Gucci, Moschino, Pandora และอื่นๆ อีกมากมาย

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับข้อมูลดีๆ ในเรื่องของ สถาบันชั้นนำที่ใครๆ ก็อยากไปเรียนต่อ ที่เรานำมาฝากกัน ซึ่งสถาบันนี้ตอบโจทย์เป็นอย่างมากสำหรับใครที่อยากเปิดโอกาสให้กับตนเองได้เรียนรู้การออกแบบและศิลปะอย่างแท้จริง มีประสบการณ์ที่ดีในการออกแบบในระดับนานาชาติด้วย หากใครที่สนใจอยากเรียนต่อที่สถาบันนี้และกำลังเตรียมตัวอยู่ แต่อาจจะยังมีข้อมูลไม่มากพอหรือยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างก็สามารถปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่เลย https://dp-education.com/  เพราะที่นี่สามารช่วยตอบคำถามที่สงสัยได้ดีที่สุด

ในสมัยก่อนนั้นอาชีพที่มีความเกี่ยวข้องกับทางด้านศิลปะอาจจะยังเป็นาชีพที่ไม่ได้ถูกมองหรือให้ความสนใจกันมากเท่าไหร่นัก แต่ปัจจุบันวงการของการออกแบบและตกแต่งนั้นเป็นที่ได้รับความนิยมสูงมาก มีเยาวชนและคนรุ่นใหม่หันมาให้ความสนใจกับการทำงานในด้านนี้กันมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นอาชีพที่ต้องการของตลาดการออกแบบและตกแต่งในประเทศไทยอีกด้วย หนึ่งในอาชีพที่หลายคนอาจจะรู้จักแต่ก็อาจจะมีบางคนที่ยังไม่รู้จักกับอาชีพนี้ว่าคืออะไรนั่นก็คืออาชีพ Interior design นั่นเอง วันนี้เราจึงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกันให้มากขึ้นว่าอาชีพ Interior คืออะไร และอาชีพนี้มีความสำคัญอย่างไรกันบ้าง ถ้าทุกคนอยากรู้แล้วนั้นเราลองไปศึกษาพร้อมกันต่อได้เลย

Interior คืออะไร?

มัณฑนากร หรือ Interior เป็นผู้ที่มีหน้าที่ในการออกแบบและตกแต่งบริเวณภายในบ้าน อาคาร ตึกหรือที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ ออกแบบเพื่อให้ตรงตามความต้องการ วัตถุประสงค์การใช้งาน มีฟังก์ชั่นเหมาะสมกับการใช้งานและมีความสวยงามน่าสนใจควบคู่กันไป และ ต้องสามารถทำการออกแบบโครงสร้างต่างๆในพื้นที่ที่จำกัดได้อย่างเหมาะสม เลือกใช้วัสดุและเฟอร์นิเจอร์ทุกชนิด ให้ตรงกับสไตล์ของเจ้าของได้อย่างลงตัวและมีการใช้งบประมาณที่เจ้าของบ้านตั้งเอาไว้ได้อย่างครอบคลุม 

นอกจากนี้นั้นอาชีพนี้ ยังมีหน้าที่การทำงานร่วมกับวิศวกร และผู้รับเหมา เพื่อทำการพูดคุยรายละเอียด และประสานงานให้งานที่ออกมาลงตัวและเหมาะสมมากที่สุด ตรงความต้องการของโครงสร้าง หรือพื้นที่ ของที่อยู่อาศัย มีความสวยงามและมีเทคโนโลยีการอำนวยความสะดวกสบายที่ครบครันลงตัว 

ความสำคัญของอาชีพ Interior design

1.สามารถทำการออกแบบได้มาตรฐาน โดยสามารถปรับปรุงโครงสร้างให้เหมาะสมกับการใช้งานให้ได้มากที่สุด ออกแบบให้ได้มาตรฐาน สามารถใช้พื้นที่ได้เต็มที่ แต่ยังอยู่ในระยะของการทำงานที่มีความปลอดภัย อีกทั้งยังสามารถออกแบบให้เกิดความสะดวกสบายเพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย

2.สามารถออกแบบและตกแต่งให้สวยงาม ตรงกับสไตล์ที่ต้องการได้ สามารถปรับภาพรวมให้เข้ากับสไตล์ของเจ้าของบ้านทั้งสไตล์โมเดิร์น สไตล์ลอฟท์ หรือสไตล์อื่น ๆ โดยจะเป็นคนสอบถามความต้องการของลูกค้าและนำมาทำการออกแบบที่ตอบโจทย์ โดยยังคงฟังก์ชั่นการใช้งานที่สะดวกสบาย ปลอดภัย สามารถใช้งานได้กับสมาชิกภายในบ้านทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย

3.วางโครงสร้างให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ที่มีได้ สามารถทำการออกแบบโครงสร้างและฟังก์ชั่นของการใช้งานให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ที่มีได้อย่างลงตัว มีการจัดวางวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ในตำแหน่งที่เหมาะสมได้อย่างดี ใช้พื้นที่ได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่เหลือพื้นที่มากจนเกินไปและไม่ใช้พื้นที่จนคับแคบ

4.งบประมาณไม่บานปลาย โดยต้องทำการออกแบบและตกแต่งให้ครอบคลุมอยู่ในงบประมาณที่มีอย่างจำกัด โดยเจ้าของบ้านหรือลูกค้าสามารถแจ้งได้ว่ามีงบประมาณอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งแตกต่างจากการที่เราไปเดินเลือกซื้อวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ด้วยตนเอง เพราะสามารถช่วยควบคุมไม่ให้งบประมาณบานปลายได้

5.ประหยัดเวลาในการออกแบบและตกแต่ง สามารถสรุปความต้องการของเจ้าของบ้านหรือลูกค้า ให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น เลือกวัสดุที่มีคุณภาพมากที่สุด มีรูปแบบการออกแบบที่ตรงตามการใช้งาน สะดวกสบายและประหยัดเวลาได้เป็นอย่างมาก

ลักษณะที่ดีของ Interior คืออะไรบ้าง?

– มีประสบการณ์และความน่าเชื่อถือสูง 

– มีความเข้าใจความต้องการของลูกค้า

– สามารถออกแบบและตกแต่งได้ตรงตามโจทย์มีความครอบคลุมทั้งความสวยงาม สไตล์และรูปแบบของการใช้งาน

– สามารถติดต่อสื่อสารได้ง่าย 

– สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดีทั้งวิศวกรและผู้รับเหมา 

– มีทักษะในการนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสรรค์งานออกแบบ

– มีความรู้ในด้านแหล่งข้อมูลของวัสดุต่างๆ 

– มีความคิดสร้างสรรค์ มีความเป็นเอกลักษณ์

จบไปแล้วนะคะกับเกร็ดความรู้ดีๆ หลายคนนั้นคงมีความสนใจในอาชีพนี้กันมาก เพระเป็นอาชีพที่มีความสำคัญและเป็นที่ต้องการสูง หากใครที่สนใจอยากเรียนต่อในด้านแฟชั่นและการออกแบบ สนใจในด้านศิลปะ กำลังมองหาในเรื่องของการเรียนต่อต่างประเทศอยู่แต่ยังไม่รู้ว่าจะเตรียมตัวอย่างไร ก็สามารถรับคำแนะแนวเพิ่มเติมหรือทำการปรึกษาก่อนได้ทาง https://dp-education.com/ หรือ พูดคุยกับพี่ๆได้ที่ line : @dpeducation

ปัจจุบันนั้นการเรียนต่อทางด้านสายแฟชั่นและการออกแบบ เป็นสายการเรียนที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในการเรียนต่อในระดับปริญญาโท หนึ่งในสถาบันที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นสถาบันในฝันเกี่ยวกับสายการเรียนของนักออกแบบ ก็คงหนีไม่พ้นสถาบัน Domus Academy นั่นเอง วันนี้เราจึงพาทุกคนมาทำความรู้จักกันสถาบันนี้ กับ Domus Academy สถาบันในฝันเหล่านักออกแบบ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปดูพร้อมกันต่อได้เลย

Domus Academy คืออะไร?

สถาบันที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของการเรียนการสอนด้านการออกแบบ ซึ่งสถาบันออกแบบชั้นนําของโลก กวาดรางวัลด้านการศึกษามากมาย ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี โดยกลุ่มดีไซเนอร์อิตาเลียนที่มีแพสชั่นของนักออกแบบในหลากหลายสาขา เพื่อสร้างสถาบันหรือโรงเรียนในการสอนทางด้านการออกแบบในระดับปริญญาโท โดยมีประสบการณ์ในการเรียนที่มีความแตกต่างออกไปจากเดิม นอกจากนี้ยังมีชื่อเสียงด้านการออกแบบเชิงนวัตกรรม ติดอันดับท้อป 3 ของทางด้านการออกแบบในประเทศอิตาลี และติดอันดับท้อป 100 ของโลก ประจำปี 2022 (จัดอันดับโดย QS World University Rankings) อีกด้วย

จุดเด่นของการเรียนที่สถาบันนี้

1. มีรูปแบบในการเรียนการสอนที่เฉพาะตัว เน้นการผสมผสานความรู้ทางทฤษฎีขั้นสูงกับการทำงานในโครงการจริง มีการทำ Workshop หรือการทำงานกลุ่ม โดยมักจะร่วมมือกับบริษัทชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญในวงการอุตสาหกรรม
2. นักเรียนที่เรียนในสถาบันนี้ได้ทำการฝึกงานกับบริษัทออกแบบชื่อดังเป็นเวลา 2 เดือนเต็ม ซึ่งทดแทนการทำวิทยานิพนธ์ในทุกหลักสูตรอีกด้วย
3. ผ่านการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการนั่นคือ  Italian Ministry of Education Universities and Research
4. สามารถเลือกโปแกรมการเรียนการสอนและแผนการเรียนที่สนใจได้ด้วยตนเอง
5. ช่วยให้มีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับบุคลากร หรือเครือข่ายคนในวงการจากทางด้านอุตสาหกรรมแฟชั่นและการออกแบบเป็นอย่างมาก
6. มีโอกาสทางด้านการต่อยอดในสายอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด 
7. มีทุนการศึกษาช่วยสนับสนุนให้กับนักเรียนภายในสถาบัน 

สาขาที่เปิดสอน

สาขาออกแบบด้านสถาปัตยกรรม (Urban Design,Interior Design และ Product Design)

• Master in Product Design มุ่งเน้นในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งจะได้เรียนรู้ทั้งในด้านการออกแบบ การเลือกวัสดุที่เหมาะสม และการพัฒนาต้นแบบ
  

สาขา Experience Design (Interaction Design (UX UI), Visual brand Design และService Design (ออกแบบระบบบริการ))

• Master in Interaction Design มุ่งเน้นทางด้านการการออกแบบอินเตอร์แอคทีฟ (UI) และออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)  ทำงานโดยเทคโนโลยีและสร้างสรรค์งานที่ตอบโจทย์ความต้องการ
• Master in Visual Brand Design มุ่งเน้นการออกแบบและจัดการแบรนด์โดยใช้ภาพ สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ การออกแบบกราฟิก และการตลาดผ่านภาพ
• Master in Service Design มุ่งเน้นทางด้านออกแบบบริการและประสบการณ์ลูกค้า สร้างและปรับปรุงบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

สาขา Fashion (Fashion Styling and Visual Merchandising, Management และ Fashion Design)

• Master in Fashion Design มุ่งเน้นทางด้านสร้างสรรค์และการพัฒนาเสื้อผ้าและแฟชั่น การออกแบบเสื้อผ้า การตัดเย็บ และการทำโปรเจคร่วมกับแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ

สาขา Business (Luxury Brand Management และBusiness Design)

• Master in Luxury Brand Management มุ่งเน้นทางด้านการจัดการแบรนด์หรู ตลาดและการพัฒนากลยุทธ์ในตลาดสินค้าหรูหรา
• Master in Business Design มุ่งเน้นทางด้านการออกแบบและการจัดการธุรกิจรวมด้วยกัน ทั้งกลยุทธ์ธุรกิจ การออกแบบบริการและการจัดการนวัตกรรม

วิทยาเขตอยู่ที่ไหน 

นั่นก็คือที่ Milan ในประเทศอิตาลีนั่นเอง โดยตั้งอยู่ใจกลางเมือง มิลาน ประเทศอิตาลี ห่างจากวิหาร Duomo เพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น มีพื้นที่ของสถาบันขนาดใหญ่ มีตึกเรียน 13 ตึก ซึ่งAcademy Milan สถาบันเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ตั้งอยู่ในโซน Navigli ที่เป็นศูนย์รวมร้านค้า ร้านอาหาร สามารถเดินทางมาสถาบันได้สะดวก มีทั้งรถสาธารณะ รถไฟใต้ดิน รถบัส รถราง และที่สำคัญมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสถาบันที่ครบครัน อาทิเช่น Design Lab หรือ Fashion Lab เป็นต้น 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเรื่อง Domus Academy สถาบันในฝัน เหล่านักออกแบบ เชื่อว่าใครที่อยากเรียนต่อก็คงมี Domus Academy เป็นสถาบันในฝันอย่างแน่นอน เพราะที่นี่นั้นเป็นสถาบันการเรียนด้านออกแบบชั้นนำ และถ้าหากใครสนใจอยากเรียนต่อแต่ยังไม่รู้จะต้องทำอะไร เตรียมตัวอย่างไรดี ก็สามารถสามารถปรึกษาแนวทางเพิ่มเติมได้ทาง
line : @dpeducation

ประเทศที่เป็นสุดยอดทางด้านศิลปะของทางแดนยุโรป ก็คงหนีไม่พ้นประเทศ อิตาลี ซึ่งมีทั้งสถาปัตยกรรม และทิวทัศน์อันงดงามของทะเลและภูเขา อบอวลไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมที่สืบต่อมาอย่างยาวนาน และยังเป็นเป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางศิลปะและประวัติศาสตร์ ซึ่งแต่ละเมืองในอิตาลีก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สวยและดูแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ทำให้ประเทศอิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศยุโรปยอดนิยมที่ใครหลายๆคนต่างอยากมาท่องเที่ยว วันนี้เราจึงนำแหล่งท่องที่ เที่ยว อิตาลี มาฝากให้กับทุกคนกันในเรื่องแนะนำสถานที่เที่ยวอิตาลี เมืองในฝันที่ใครหลายๆคนอยากไป บอกเลยว่าแต่ละที่นั้นเป็นสถานที่ที่น่าประทับใจอย่างมาก จะมีที่ไหนบ้างนั้นเราลองไปดูต่อพร้อมกันได้เลย 

แนะนำสถานที่ เที่ยว อิตาลี

• กรุงโรม

มาเริ่มที่เที่ยวแห่งที่ 1 กันเลยนั่นก็คือ กรุงโรม นั่นเอง ซึ่งที่นี่เป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีและเป็นเมืองในอิตาลีที่ใหญ่ที่สุด มีความเก่าแก่กว่า 2,700 ปี กรุงโรมคือแหล่งรวมโบราณสถานที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศหลากหลายแห่ง และยังเป็นแหล่งรากฐานสำคัญของศิลปะและสถาปัตยกรรมตะวันตกอย่างมากมายอีกด้วย 

• มหาวิหารแพนธีออน (Pantheon)

ที่เที่ยวอิตาลีแห่งต่อมาคือ มหาวิหารแพนธีออน (Pantheon) เรียกได้ว่าเป็นมหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโรม สร้างขึ้นโดยแม่ทัพ  Marcus Agrippa มีความเก่าแก่ถึง 2,000 ปี ด้านในประดิษฐานของเทพเจ้าแห่งกรีก-โรมัน หลายองค์ เพื่อเป็นเทวสถานบูชาเทพเจ้าทั้ง 7 แห่งดาวในระบบสุริยะ มีความโดดเด่นคือ เป็นโดมขนาดใหญ่ ด้านในมีลักษณะเป็นช่องวงกลม (Oculus) แสงจะส่องเข้ามาในวิหารผ่านช่องนี้ ดูคล้ายกับดวงตาสวรรค์ที่เชื่อมโยงมนุษย์กับเทพเจ้าเข้าด้วยกัน

• โคลอสเซียม – Colosseum

มาถึงที่เที่ยวแห่งที่ 3 คือ โคลอสเซียม – Colosseum เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคใหม่ ซึ่งเป็นสนามกีฬาโบราณขนาดใหญ่ สร้างขึ้นในช่วงจักรวรรดิโรมัน โดยจักรพรรดิเวสเปเชี่ยน อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลม ที่สามารถจุคนได้มากถึง 50,000 คน เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยมีการสร้างขึ้นในสมัยโรมัน และปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านการประหารชีวิตอีกด้วย 

• เมืองมิลาน 

มาถึงแห่งที่ 4 นี้เป็นเมืองในอิตาลีที่โดดเด่นในเรื่องแฟชั่นและการออกแบบ นั่นก็คือ เมืองมิลาน เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอิตาลี เต็มเปี่ยมไปด้วยงานศิลปะและสถาปัตยกรรมที่สวยงามมากมาย และนอกจากนี้ยังมีมหาวิหารมิลาน ที่โดดเด่นทางสถาปัตยกรรมในรูปแบบ Gothic และถือว่าเป็นมหาวิหารรูปแบบ Gothic ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก เป็นมหาวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการสักการะพระแม่มารีให้ประทานบุตรชายเพื่อเป็นทายาทสืบทอดตระกูล บริเวณยอดใหญ่ตรงกลางวิหารมีสิ่งที่เรียกว่า Madunina ซึ่งเป็นรูปปั้นแม่พระ ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ จึงมีความสวย มีความวิจิตร ตระการตาเป็นอย่างมาก

• เวนิส

มาถึงสถานที่เที่ยวอิตาลีที่ 5 แล้วก็คือ เวนิส ที่นี่มีฉายาว่า “ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก” (The Queen of the Adriatic) หรือ “เมืองแห่งสายน้ำ” (The City of Water) ซึ่งรายล้อมไปด้วยคูคลองถึง 150 สาย ไหลผ่านรอบๆเมือง มีสถาปัตยกรรมหลากหลาย ตึกอาคารสีสันสดใสตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าอย่างสวยงาม จนทำให้ยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลก

• มหาวิหารฟลอเรนซ์

มาถึงเมืองในอิตาลีสถานที่ท่องเที่ยวอิตาลีแห่งสุดท้ายก็คือ มหาวิหารฟลอเรนซ์ เป็นมหาวิหารที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิหารที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี มีอายุเก่าแก่มากกว่า 800 ปี มีไฮไลท์ของมหาวิหารคือโดมสีส้มขนาดใหญ่ ตัดกับโครงสร้างอาคารที่เป็นหินอ่อนสีขาว ตกแต่งเพิ่มด้วยหินแกะสลักสีเขียวและสีชมพู ซึ่งเป็นรูปแบบของสถาปัตยกรรมสไตล์ Neo Gothic นั่นเอง 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสถานที่ท่องเที่ยวในอิตาลีที่เรานำมาแนะนำกันผ่านในเรื่องแนะนำสถานที่เที่ยว อิตาลี เมืองในฝันที่ใครหลายๆคนอยากไป ที่เรานำมาฝากกัน หากใครที่กำลังมีแผนอยากไปศึกษาต่อในด้านแฟชั่นและการออกแบบที่ประเทศอิตาลี แต่ยังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ และไม่มีแนวทางในการเตรียมตัว สามารถปรึกษาเพิ่มเติมได้ทาง
Line : @dpeducation เพื่อคำแนะนำดีๆ และที่ปรึกษาในด้านการเรียนต่อประเทศอิตาลี

ในสมัยก่อนการประกอบ อาชีพที่เกี่ยวกับศิลปะในประเทศไทยนั้นอาจจะยังไม่ได้ถูกจับตามองมากเท่าไหร่ และนอกจากนี้ยังอาจจะถูกเรียกได้ว่าเป็นศิลปินไส้แห้งอีกด้วย แต่ในปัจจุบันนี้กำลังได้รับความนิยมขึ้นสูงมาก ไม่เพียงแต่อาชีพที่เกี่ยวกับงานศิลปะเท่านั้น ยังมีงานศิลปะด้านอื่นๆ ร่วมด้วย

อีกทั้งศิลปะและการออกแบบยังเป็นที่ต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคตอีกด้วย วันนี้เราจึงนำพาทุกคนมาทำความรู้จักกับอาชีพนี้กันให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เด็กสายศิลป์ สายอาร์ตทุกคนนั้นได้ตัดสินใจและเลือกมีอาชีพที่เป็นตัวเลือกดี ๆ ในอนาคตผ่านเรื่อง 5 อาชีพที่ ที่ได้รับความนิยมในไทยมาฝากกัน จะมีอาชีพไหนที่น่าสนใจบ้างนั้นเราลองไปดูพร้อมกันได้เลย 

อาชีพที่เกี่ยวกับศิลปะ ที่ได้รับความนิยมในไทย 

• อาชีพที่ 1 : Art Director

มาเริ่มกันที่อาชีพแรกกันเลยดีกว่านั่นก็คืออาชีพ Art Director นั่นเอง หรือที่เรานั้นรูกจักกันในชื่อว่า ผู้กำกับศิลป์ อาชีพนี้เป็นอาชีพที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาพและการจัดองค์ประกอบของงานต่าง ๆให้ออกมาดูสวยงามและตอบโจทย์ต่อความต้องการของลูกค้าในการสื่อสารข้อมูลให้กับผู้บริโภคได้มากที่สุด โดยผ่านการเผยแพร่งานทางช่องทางออนไลน์ทั้งสื่อโทรทัศน์ การแสดงสด สื่อโฆษณา ภาพยนตร์ หรือสิ่งพิมพ์ และจะต้องกำกับดูแลนักออกแบบและศิลปินอีกด้วย ซึ่งเป็นอาชีพที่ได้ใช้ความสร้างสรรค์และครีเอทีฟในตัวเองอย่างสูงมาก และรายได้ก็ดีมากๆจึงได้รับความนิยมในประเทศไทย

• อาชีพที่ 2 : ศิลปิน Art toy

มาต่อกันกับอาชีพที่ 2 ก็คือ ศิลปิน Art toy ในปัจจุบันนั้นวงการอาร์ตทอยได้รับความนิยมสูงขึ้นมากๆทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เป็นงานศิลปะที่สร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบของเล่น จึงเป็นอาชีพที่ประเภทงานประติมากรรม อาศัยในด้านของการออกแบบเป็นหลัก ใช้เครื่องมือประเภทต่างๆในการออกแบบและสร้างสรรค์ผลงานได้ทั้งหมด ปัจจุบันสังคมศิลปินอาร์ตทอย เป็นที่รู้จักมากขึ้น และสามารถเติบโตขึ้นได้เรื่อย ๆ

• อาชีพที่ 3 : Digital Designer

มาที่อาชีพที่ 3 กันแล้วที่เป็นอาชีพเกี่ยวกับศิลปะที่ได้รับความนิยมในไทย นั่นก็คือ Digital Designer อาชีพนี้เป็นอาชีพที่อาศัยการออกแบบและสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบใหม่ๆที่ทันสมัยอยู่เสมอ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ให้กับลูกค้าที่ปนะกอบธุรกิจได้ในทุกแขนง เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ได้รับการยอมรับมาโดยตลอด อาทิเช่น หากเป็นการออกแบบและสร้างสรรค์การตัดเย็บเสื้อผ้า ก็จะต้องออกแบบให้ตรงความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

• อาชีพที่ 4 : นักออกแบบรอยสักหรือช่างสัก 

มาอาชีพที่ 4 แล้วก็คือ นักออกแบบรอยสักหรือช่างสัก ซึ่งคนไทยในปัจจุบันนี้หันมาชอบในด้านของการสักลายบนเรือนร้างและร่างกายเพิ่มมากขึ้น โดยเป็นอาชีพเกี่ยวกับงานศิลปะที่ต้องชื่นชอบในการเพนต์หรือวาดลวดลายต่างๆ บนเนื้อหนัง หลงใหลในเรือนร่างของมนุษย์ในการประดับลวดลายสวยงาม หรือมีความแปลก นอกจากนี้อาชีพนี้ต้องมีการฝึกฝนอยู่สม่ำเสมอ เพราะศิลปะรอยสักเป็นภาพที่หลากหลาย ไม่เหมือนรูปที่วาดทั่วไป

• อาชีพที่ 5 : นักร้อง นักดนตรีและนักแต่งเพลง

มาถึงอาชีพสุดท้ายกันแล้วนั่นก็คือ นักร้อง นักดนตรีและนักแต่งเพลง ที่ปัจจุบันนั้นมีหน้าใหม่เพิ่มขึ้นในวงการตลาด โดยเฉพาะตลาดวงการ T-POP เนื่องจากเพลง T-POP นั้นเป็นเพลงที่ใช้การสร้างสรรค์เพลงออกมาให้ติดหูคนฟัง มีการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของวงการดนตรีในประเทศไทย และมีการนำเทคโนโลยีมาใช้สร้างสรรค์ผลงาน ทำให้อาชีพนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ที่กำลังได้รับความนิยมสูงขึ้นตลอดมา

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเกร็ดความรู้ ที่เราได้นำมาฝากกัน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่นอกจากนี้ก็ยังมีอาชีพเกี่ยวกับศิลปะอีกมากมายที่น่าสนใจในปัจจุบัน และถ้าหากใครสนใจอยากเรียนต่อในด้านแฟชั่นและการออกแบบ สนใจในด้านศิลปะแต่ไม่รู้ต้องเตรียมตัวอะไร อย่างไรบ้าง และต้องการคำแนะนำดีๆ ที่ปรึกษาในด้านการเรียนต่อ ก็สามารถรับคำแนะแนวเพิ่มเติมได้ทาง Line:@dpeducation ที่นี่เลย

การเรียนต่อในด้านสายแฟชั่นหรือด้านการออกแบบนั้นมีให้เราได้เลือกสาขาที่ต้องการได้อีกหลากหลายแขนงด้วยกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล วันนี้เราจึงจะพาทุกคนนั้นไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งแขนงในด้านของการออกแบบ นั่นก็คือ UX UI ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชา Interaction Design ที่หลายคนก็ต่างให้ความสนใจและอยากรู้ว่าวิชานี้คืออะไร และมีการเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้วเราลองไปทำความรู้จักกันในเรื่องแนะนำ UX UI คือ อะไร  ต้องเรียนสาขาวิชาไหน กันต่อไปได้เลย

UX UI คือ อะไร

หากใครที่กำลังสงสัยว่า UX UI นั้นคืออะไร เราไปทำความรู้จักกับการออกแบบในด้านนี้

•  UX ย่อมาจาก User Experience 

การออกแบบที่มุ่งเน้นให้ผู้ที่เข้ามาใช้งาน Digital Products ต่างๆ ได้มีประสบการณ์การใช้งานที่ดี โดยจะต้องเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ให้ความสำคัญกับความต้องการ ความรู้สึก และอารมณ์ รวมทั้งเน้นให้เกิดความพึงพอใจในการใช้งานเป็นหลัก โดยแต่ละผลิตภัณฑ์จะต้องมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้แก่ผู้ใช้ตามจุดประสงค์และเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์นั้นได้เป็นอย่างดี และมีลำดับขั้นตอนในการทำงานอย่างชัดเจน 

•  UI ย่อมาจาก User Interface

การออกแบบที่เน้นหน้าตาความสวยงามของ Digital Products โดยจะต้องออกแบบให้ทั้งสวยงาม สบายตา ส่งเสริมให้ผู้ใช้งานเข้าถึงประสบการณ์ที่ดี และใช้งานได้จริง ซึ่งการออกแบบให้สวยงามก็ต้องสอดคล้องกับข้อมูลของ UX ที่ได้ทำการค้นคว้าวิจัยมาก่อน

กระบวนการหรือแนวคิดในการออกแบบของ UX Design 

• Design Thinking การคือเชิงออกแบบ เป็นกระบวนการในการคิดที่ให้ความสำคัญกับปัญหาของผู้ใช้งาน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานจริงให้ได้มากที่สุด 
• Service Design เป็นออกแบบโดยมุ่งเน้นไปทางด้านการบริการ คำนึงถึงประสบกาณ์ของผู้ใช้งาน เพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพสูงสุดและมีความต่อเนื่อง
• Design Sprint เป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ออกสู่ตลาดแล้ว จะต้องมีความรวดเร็ว และความเป็นระบบในการแก้ไขปัญหาได้ดี
• User Centered Design เป็นการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเป็นหลัก มีการร่วมออกแบบและร่วมกันประเมินผลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด

ส่วน UI นั้นย่อมาจาก User Interface เป็นการออกแบบเพื่อเชื่อมประสานระหว่างผู้ใช้งานกับระบบหรือผลิตภัณฑ์ เช่น แป้นพิมพ์ หรือจอภาพ เน้นทางด้านหน้าตาของการออกแบบ เช่น ปุ่ม การวางภาพ ขนาดอักษร เป็นต้น 

องค์ประกอบในการออกแบบของ UI Design

• Information Design เน้นการออกแบบโดยการนำเสนอข้อมูล เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง
• Interaction Design เน้นทางด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้งานกับวัตถุ โดยมีการตอบสนองที่ถูกต้อง สามารถไปถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
• Information Architecture การจัดเรียงข้อมูลอย่างเป็นระบบและถูกต้อง เพื่อเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว
• Visual Design เน้นในเรื่องการนำเสนอภาพเพื่อความสวยงาม  ครบทุกองค์ประกอบ และเพื่อความเข้าใจง่าย
• Human Computer Interaction เน้นทางด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์

อยากเรียนในเรื่องของ UX UI เรียนสาขาไหนและเรียนที่ไหนดี?

ใครที่มีความสนใจในเรื่องของ UX UI วันนี้เรามีสถาบันออกแบบชั้นนำของโลกมาแนะนำ นั่นก็คือที่ DOMUS ACADEMY นั่นเอง ที่นี่นั้นเป็นสถาบันออกแบบชั้นนําของโลก กวาดรางวัลด้านการศึกษามากมาย ก่อตั้งโดย กลุ่มดีไซเนอร์อิตาเลียนและก่อตั้งขึ้นในปี 1982 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี มีชื่อเสียงด้านการออกแบบเชิงนวัตกรรม ติดอันดับท้อป 3 ของ ประเทศอิตาลี และติดอันดับท้อป 100 ของโลก ประจำปี 2022 (จัดอันดับโดย QS World University Rankings) โดยมีการเปิดสอนในระดับปริญญาโทหลากหลายสาขา ดังนี้ 

• สาขา ออกแบบด้านสถาปัตยกรรม (Interior Design ,Product Design และ Urban Design)
• สาขา Experience Design (Interaction Design (UX UI), Visual brand Design และService Design (ออกแบบระบบบริการ))
• สาขา Fashion (Management, Fashion Design และ Fashion Styling and Visual Merchandising)
• สาขา Business (Luxury Brand Management และBusiness Design)

ใครที่สนใจในด้านการเรียนออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) และการออกแบบอินเตอร์แอคทีฟ (UI) จะต้องเรียนใน สาขา Experience Design เลย เพราะที่นี่นั้นนักเรียนจะได้เรียนรู้และทำงานกับเทคโนโลยีและการสร้างสรรค์โซลูชั่นที่ตอบสนองต่อการใช้งานของผู้ใช้จริง ที่สามารถนำมาต่อยอดในสายอาชีพได้อย่างดี

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเกร็ดความรู้ดีๆในเรื่องแนะนำ UX UI คือ อะไร  ต้องเรียนสาขาวิชาไหน ที่ DOMUS ACADEMY มีการเรียนที่มุ่งเน้นในการนำความรู้ทางทฤษฎีขั้นสูงมาผสมผสานกับการทำงานในโครงการจริงในบริษัทชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญในวงการอุตสาหกรรมอีกด้วย หากใครที่สนใจอยากศึกษาต่อที่ DOMUS AChttps://dp-education.com/domus-academy/ADEMY แต่ยังไม่รู้จะทำอย่างไรดี สามารถรับคำแนะแนวเพิ่มเติมได้ทาง Line : @dpeducation ที่นี่เลย

การ เรียนต่อต่างประเทศ  ไม่ว่าจะเป็นในด้านของสายการเรียนไหนนั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความฝันของใครหลายคนที่อยากให้เป็นจริง เพราะเป็นหนทางในการเปิดประสบการณ์ใหม่ เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ และมีโอกาสที่จะต่อยอดเกี่ยวกับอาชีพในอนาคต แต่การจะไปให้ถึงฝันได้นั้น ก็ต้องรู้จัก “การเตรียมตัว” ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่ต้องใช้เวลา วางแผน และทุ่มเทในการไปเรียนต่างประเทศ วันนี้เราจึงพามาดู How to เตรียมตัว เรียนต่อ ต่างประเทศ เพื่อให้การเตรียมตัวของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแล้วไปดูเลย!

10 ขั้นตอนในการเตรียมตัว เรียนต่อ ต่างประเทศ

ขั้นตอนที่ 1 : กำหนดเป้าหมาย
การตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ สิ่งแรกที่ควรทำคือ ต้องมีการกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าอยากเรียนต่อในด้านไหน สาขาวิชาอะไร ไปเรียนที่ประเทศไหน แล้วเป้าหมายที่ไปเรียนคืออะไร เพื่อที่จะเริ่มเตรียมตัวได้อย่างถูกทาง

ขั้นตอนที่ 2 : เลือกประเทศและสถาบันศึกษา

เมื่อกำหนดสายการเรียนได้แล้ว ให้ทำการสำรวจประเทศที่คุณสนใจ โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ภาษา วัฒนธรรม สภาพอากาศ และระบบการศึกษาให้ครบถ้วน หลังจากนั้นทำการค้นหาสถาบันที่มีหลักสูตรที่ตรงกับความสนใจ โดยเรามี 3 สถาบันที่เป็น partner ด้านการเรียนแฟชั่น สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://dp-education.com/schools/ซึ่งขั้นตอนนี้คุณต้องตรวจสอบคุณสมบัติและข้อกำหนดการเข้าเรียนของแต่ละสถาบันให้ชัดเจน เช่น คะแนนสอบ ภาษา หรือประสบการณ์การทำงาน เพราะแต่ละสถาบันจะมีข้อกำหนดที่แตกต่างกัน

ขั้นตอนที่ 3 : หาข้อมูลของประเทศที่จะเรียนต่อ

อีกขั้นตอนสำคัญสำหรับการเตรียมตัวไปเรียน ต่างประเทศ คือการหาข้อมูลของประเทศที่จะเรียนต่อ โดยทำการหาตั้งแต่ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับประเทศ เช่น ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และที่ห้ามพลาดคือ ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาและมหาวิทยาลัยที่เลือกเรียน เช่น ประเภทของสถาบันการศึกษา หลักสูตร ระบบการวัดผล อันดับของมหาวิทยาลัย ความน่าเชื่อถือ สาขาวิชา ค่าเล่าเรียน และทุนการศึกษา เพื่อเตรียมพร้อมในเรื่องข้อมูลรอบตัวให้ครบถ้วน

ขั้นตอนที่ 4 : เตรียมเอกสาร

เอกสารที่ต้องเตรียมในการเรียน ต่างประเทศมีหลายอย่าง คือ

• เอกสารส่วนตัว เช่น หนังสือเดินทาง ใบรับรองผลการศึกษา ทรานสคริปต์
• จดหมายแนะนำ (Letters of Recommendation) ที่จะเขียนแนะนำจากบุคคลที่ 3 ที่รู้จักตัวคุณดีถึง เขียนเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครเรียน โดยถ้าเขียนออกมาดี ก็จะทำให้มีโอกาสเข้าเรียนต่อมากขึ้น
• จดหมายแนะนำตัว (Statement of Purpose) เขียนอธิบายถึงความตั้งใจและเหตุผลที่ต้องการเรียนต่อในสาขาที่เลือก แรงผลักดัน และเป้าหมายในอนาคตอีกด้วย
• ประวัติส่วนตัว (CV/Resume) สิ่งสำคัญที่สุดในการอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีโอกาสเข้าเรียนมากขึ้น

ขั้นตอนที่ 5 : เตรียมภาษาและการสอบต่างๆ

เตรียมภาษาให้พร้อมด้วยการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ เช่น TOEFL, IELTS หรือภาษาอื่นๆ ตามที่สถาบันการศึกษากำหนด รวมถึงสอบวิชาพื้นฐาน เช่น GMAT, GRE สำหรับหลักสูตรที่กำหนดด้วย 

ขั้นตอนที่ 6 : วางแผนการเงิน

วางแผนการเงินให้ดี ต้องคำนวณค่าใช้จ่าย ทั้งค่าเทอม ค่าที่พัก ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อให้เพียงพอในการไปศึกษาต่อ มองหาช่องทางการหาเงิน และทุนการศึกษาที่คุณสมบัติเข้าเกณฑ์ เพื่อยื่นขอทุนในการแบ่งเบาค่าใช้จ่ายนั่นเอง โดยหากใครที่สนใจทุนในการเรียนต่อ ลองดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://dp-education.com/scholarship/ เผื่อว่าจะเจอทุนดีดีที่ตรงใจ

ขั้นตอนที่ 7 : สมัครเรียน

ทำการสมัครเรียนโดยให้ส่งใบสมัครตามขั้นตอนอย่างครบถ้วน และต้องส่งตามเวลาที่สถาบันการศึกษากำหนด รวมทั้งติดตามผลการสมัคร เพื่อทำการตอบรับยืนยันสิทธ์เข้าศึกษาต่อ เมื่อมีการตอบรับจากสถาบันการศึกษาเข้ามา

ขั้นตอนที่ 8 : เตรียมตัวก่อนเดินทาง

ทั้งการขอวีซ่าตามข้อกำหนดของประเทศที่จะไปศึกษา โดยสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการขอ visa ได้ที่            ขั้นตอนการขอ visa นอกจากนี้การจัดหาที่พักที่เหมาะสม และจัดกระเป๋าเดินทาง เตรียมสิ่งของจำเป็น เอกสารสำคัญ และของใช้ส่วนตัวให้ครบถ้วน

ขั้นตอนที่ 9 : เตรียมปรับตัวใช้ชีวิตในต่างประเทศ

เตรียมตัวสำหรับการเรียนให้พร้อมในระบบการศึกษาที่แตกต่าง สร้างเครือข่าย เข้าร่วมกลุ่มนักศึกษาไทยหรือกลุ่มนักศึกษานานาชาติ เพื่อหาคำแนะนำและความช่วยเหลือ อย่าลืมศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ เพื่อให้ปรับตัวใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น

ขั้นตอนที่ 10 : ติดตามและประเมินผล

สุดท้ายหลังจากที่ไปเรียน ต่างประเทศแล้ว ต้องอย่าลืมประเมินผลการเรียน ติดตามความก้าวหน้าทางการศึกษา เพื่อวางแผนสำหรับอนาคต หรือมองหาโอกาสในการทำงานหลังจากสำเร็จการศึกษาเรียบร้อย
เป็นอย่างไรบ้างคะกับ How to เตรียมตัว เรียนต่อต่างประเทศที่เรานำมาฝากกัน จะเห็นได้ว่าการเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศนั้น ต้องใช้ทั้งความรอบคอบและการวางแผนที่ดี เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ และได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่าในการศึกษาและใช้ชีวิตต่างประเทศ

ซึ่งหากใครที่สนใจเรียนต่อ ต่างประเทศในสายแฟชั่น สามารถเข้าไปดูรายละเอียดและขอคำปรึกษาในการเรียนต่อกับ DP Education ที่จะช่วยสานฝันของนักเรียนสายแฟชั่น ศิลปะ และการออกแบบให้สามารถเป็นจริง รวมถึงมีการแนะแนวให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเรียนต่ออย่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณสามารถเตรียมพร้อมก่อนใครในการไปเรียนต่อต่างประเทศในสายแฟชั่นที่ชื่นชอบ โดยหากสนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://dp-education.com/ แล้วการเรียนต่อต่างประเทศของคุณจะง่ายขึ้นกว่าเดิมทันที

ความสวยความงามในด้านของการแต่งตัวและเสื้อผ้า หรือที่เรียกว่า “แฟชั่น” เป็นสิ่งที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนปัจจุบัน อีกทั้งวงการทางด้านออกแบบและแฟชั่นก็กำลังพัฒนาไปไกลมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ใช้ว่าใครจะสามารถเรียนแฟชั่นได้ทันที เราจะต้องมีการเตรียมตัวและวางแผนในการเรียน เพื่อที่จะถามตัวเองว่าสิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์เราหรือไม่ วันนี้เราจึงได้นำความรู้ดีๆมาฝากกันในเรื่อง แฟชั่นดีไซน์ เรียนอะไรบ้าง จบไปทำอะไรได้บ้าง จะมีอะไรน่าสนใจบ้างนั้นเราไปติดตามเพิ่มเติมกันได้เลย

แฟชั่นดีไซน์ เรียนอะไรบ้าง

การเรียนแฟชั่นดีไซน์ ไม่เพียงแต่จะเรียนในด้านการออกแบบเสื้อผ้าเท่านั้น วงการแฟชั่นในปัจจุบันนั้น ก้าวไกลไปในหลากหลายทั้งในด้านการออกแบบเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง ชุดกีฬา ออกแบบลายผ้า รวมไปถึงด้านการตลาดแฟชั่น Fashion Management ตลอดจนการนำเสนอผลงาน และการจัดทำแฟชั่นโชว์อย่างมืออาชีพ หากใครที่กำลังมองหาการเรียนด้านแฟชั่น แต่ยังไม่รู้ว่าต้องเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมและสามารถทำงานได้อย่างตรงสายตามความต้องการ เราไปดูกันเลย! ว่าการเรียนแฟชั่นดีไซน์ เรียนอะไรบ้าง ดังนี้

1.เรียนวาดรูป

วิชาที่สำคัญที่สุดของการเรียนแฟชั่น โดยหลักๆจะเรียนด้านการสเก็ตช์ภาพ วาดคน มือ เท้า และทำความเข้าใจโครงหน้าของคน รวมถึงลักษณะทางกายภาพ การวาดหุ่นแฟชั่น การลงสีผ้าชนิดต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือการวาด Flat Drawing เพื่อเข้าใจรายละเอียดชุดได้ง่ายขึ้น

2.เรียนการตัดเย็บและสร้างแพทเทิร์น

โดยจะต้องเข้าใจโมเดลชุดใน 2 มิติลงบนกระดาษและนำมาประกอบกันเป็นชุด มิติ หรือการนำผ้ามาแต่งตัวกับหุ่น และเริ่มเรียนการตัดเย็บ ประดิษฐ์ชุดออก และการใช้อุปกรณ์ต่างๆ

3.เรียนสร้างคอลเลคชั่น

ต้องสามารถตีกรอบการออกแบบและทำการถ่ายทอดผ่านทาง Sketchbook และ Moodboard เพื่อสื่อสารการออกแบบกับลูกค้าอย่างเข้าใจง่าย มีชุดหลากหลายแบบจนเป็นคอลเลคชั่น

4.เรียนใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ต่างๆ

ทั้งโปรแกรม Illustrator Photoshop และ Indesign เพื่อใช้ในการออกแบบ วาดลวดลายต่างๆของผ้าและชุดที่ออกแบบ

5.เรียนเรื่องวัสดุและผ้า

ตั้งแต่เส้นใย การถักทอ คุณสมบัติต่างๆของผ้าต่างชนิด การพิมพ์ผ้าและวัสดุที่ใช้ในการออกแบบชนิดต่างๆทั้งหมด

6.ประวัติศาสตร์ของแฟชั่น

เพื่อให้เราเข้าใจเทรนด์ในยุคสมัยต่างๆ และสามารถนำมาปรับ ต่อยอดและประยุกต์กับไอเดียในการออกแบบของเราได้มากขึ้น

7.เรียนธุรกิจแฟชั่น

เพื่อที่เราจะรู้ว่าควรทำการตลาดอย่างไรถึงจะดึงดูดลูกค้า สร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ มีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไรที่จะสร้างกำไรได้

เรียนแฟชั่น จบมาทำอะไรได้บ้าง?

แฟชั่น ดีไซเนอร์ หรือนักออกแบบแฟชั่น 

เชื่อว่าอาชีพแฟชั่น ดีไซเนอร์คงเป็นหนึ่งอาชีพที่หลายๆคนสนใจ เพราะเป็นอาชีพที่สามารถออกแบบเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หรือรูปแบบชุดต่างๆได้เองตามความชอบของแฟชั่น ดีไซเนอร์ให้กับแบรนด์ดังต่างๆ แต่จะต้องถูกใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า อีกทั้งยังต้องมีเอกลักษณ์ มีสไตล์ของตนเองอย่างโดดเด่นและดึงดูดอีกด้วย

Fashion journalist Stylist / Makeup artist / Digital content creator

เป็นการนำความรู้ในด้านการเรียนแฟชั่นมาต่อยอดในสายการสร้างคอนเทนต์เป็นหลัก โดยอาจจะไม่ต้องเรียนในด้านของการตัดเย็บหรือการประดิษฐ์เป็นหลัก แต่จะเรียนในด้านการจัดการเน้นศาสตร์การนำเสนอผลงานเกี่ยวข้องกับแฟชั่น

เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า 

การเป็นเจ้าของแบรนด์นั้นเราเป็นนายของตนเองจึงจะต้องเข้าใจทั้งศาสตร์การออกแบบ การตัดเย็บและยังต้องเข้าใจศาสตร์การทำธุรกิจ การตลาดและการจัดการด้วย เพื่อที่จะสามารถวางแผนร้าน ว่าจะสร้างกำไรให้กับร้านได้อย่างไรบ้าง

นายแบบ นางแบบ 

สำหรับใครที่ชื่นชอบการทำงานเบื้องหน้า เพราะการเรียนแฟชั่นจะช่วยให้สามารถนำความรู้มาต่อยอดในด้านการแสดงบุคลิกท่าท่างและสีหน้าที่ตอบโจทย์กับชุดมากที่สุด เพื่อนำเสนอชุดให้ออกมาดูสวย สง่า

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับแนวความรู้ดีๆที่เรานำมาฝากกัน นอกจากในประเทศไทยแล้วที่มีการสอนในด้านแฟชั่น ต่างประเทศอย่างประเทศอิตาลีก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อในด้านการเรียนแฟชั่นมาก ช่วยเปิดประสบการณ์ของการออกแบบทั่วโลกให้เรา หากใครมีความสนใจอยากเรียนต่อแฟชั่นที่อิตาลี สามารถรับคำแนะแนวเพิ่มเติมได้ทาง https://dp-education.com/ ซึ่งมีหลักสูตรการเรียนทั้งระยะสั้น ระยะยาว ปริญาตรี จนถึงปริญาโท พร้อมให้คำแนะนำอย่างดีที่สุดโดยเมื่อเรียนจบมาแล้วยังทำให้คุณสามารถต่อยอดเดินสายไปต่อในวงการแฟชั่นได้อีกยาวไกล ลองปรึกษาเราได้เลย!