#DP Blog

ปัจจุบันนั้นการเรียนต่อทางด้านสายแฟชั่นและการออกแบบ เป็นสายการเรียนที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในการเรียนต่อในระดับปริญญาโท หนึ่งในสถาบันที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นสถาบันในฝันเกี่ยวกับสายการเรียนของนักออกแบบ ก็คงหนีไม่พ้นสถาบัน Domus Academy นั่นเอง วันนี้เราจึงพาทุกคนมาทำความรู้จักกันสถาบันนี้ กับ Domus Academy สถาบันในฝันเหล่านักออกแบบ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปดูพร้อมกันต่อได้เลย

Domus Academy คืออะไร?

สถาบันที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของการเรียนการสอนด้านการออกแบบ ซึ่งสถาบันออกแบบชั้นนําของโลก กวาดรางวัลด้านการศึกษามากมาย ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี โดยกลุ่มดีไซเนอร์อิตาเลียนที่มีแพสชั่นของนักออกแบบในหลากหลายสาขา เพื่อสร้างสถาบันหรือโรงเรียนในการสอนทางด้านการออกแบบในระดับปริญญาโท โดยมีประสบการณ์ในการเรียนที่มีความแตกต่างออกไปจากเดิม นอกจากนี้ยังมีชื่อเสียงด้านการออกแบบเชิงนวัตกรรม ติดอันดับท้อป 3 ของทางด้านการออกแบบในประเทศอิตาลี และติดอันดับท้อป 100 ของโลก ประจำปี 2022 (จัดอันดับโดย QS World University Rankings) อีกด้วย

จุดเด่นของการเรียนที่สถาบันนี้

1. มีรูปแบบในการเรียนการสอนที่เฉพาะตัว เน้นการผสมผสานความรู้ทางทฤษฎีขั้นสูงกับการทำงานในโครงการจริง มีการทำ Workshop หรือการทำงานกลุ่ม โดยมักจะร่วมมือกับบริษัทชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญในวงการอุตสาหกรรม
2. นักเรียนที่เรียนในสถาบันนี้ได้ทำการฝึกงานกับบริษัทออกแบบชื่อดังเป็นเวลา 2 เดือนเต็ม ซึ่งทดแทนการทำวิทยานิพนธ์ในทุกหลักสูตรอีกด้วย
3. ผ่านการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการนั่นคือ  Italian Ministry of Education Universities and Research
4. สามารถเลือกโปแกรมการเรียนการสอนและแผนการเรียนที่สนใจได้ด้วยตนเอง
5. ช่วยให้มีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับบุคลากร หรือเครือข่ายคนในวงการจากทางด้านอุตสาหกรรมแฟชั่นและการออกแบบเป็นอย่างมาก
6. มีโอกาสทางด้านการต่อยอดในสายอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด 
7. มีทุนการศึกษาช่วยสนับสนุนให้กับนักเรียนภายในสถาบัน 

สาขาที่เปิดสอน

สาขาออกแบบด้านสถาปัตยกรรม (Urban Design,Interior Design และ Product Design)

• Master in Product Design มุ่งเน้นในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งจะได้เรียนรู้ทั้งในด้านการออกแบบ การเลือกวัสดุที่เหมาะสม และการพัฒนาต้นแบบ
  

สาขา Experience Design (Interaction Design (UX UI), Visual brand Design และService Design (ออกแบบระบบบริการ))

• Master in Interaction Design มุ่งเน้นทางด้านการการออกแบบอินเตอร์แอคทีฟ (UI) และออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)  ทำงานโดยเทคโนโลยีและสร้างสรรค์งานที่ตอบโจทย์ความต้องการ
• Master in Visual Brand Design มุ่งเน้นการออกแบบและจัดการแบรนด์โดยใช้ภาพ สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ การออกแบบกราฟิก และการตลาดผ่านภาพ
• Master in Service Design มุ่งเน้นทางด้านออกแบบบริการและประสบการณ์ลูกค้า สร้างและปรับปรุงบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

สาขา Fashion (Fashion Styling and Visual Merchandising, Management และ Fashion Design)

• Master in Fashion Design มุ่งเน้นทางด้านสร้างสรรค์และการพัฒนาเสื้อผ้าและแฟชั่น การออกแบบเสื้อผ้า การตัดเย็บ และการทำโปรเจคร่วมกับแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ

สาขา Business (Luxury Brand Management และBusiness Design)

• Master in Luxury Brand Management มุ่งเน้นทางด้านการจัดการแบรนด์หรู ตลาดและการพัฒนากลยุทธ์ในตลาดสินค้าหรูหรา
• Master in Business Design มุ่งเน้นทางด้านการออกแบบและการจัดการธุรกิจรวมด้วยกัน ทั้งกลยุทธ์ธุรกิจ การออกแบบบริการและการจัดการนวัตกรรม

วิทยาเขตอยู่ที่ไหน 

นั่นก็คือที่ Milan ในประเทศอิตาลีนั่นเอง โดยตั้งอยู่ใจกลางเมือง มิลาน ประเทศอิตาลี ห่างจากวิหาร Duomo เพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น มีพื้นที่ของสถาบันขนาดใหญ่ มีตึกเรียน 13 ตึก ซึ่งAcademy Milan สถาบันเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ตั้งอยู่ในโซน Navigli ที่เป็นศูนย์รวมร้านค้า ร้านอาหาร สามารถเดินทางมาสถาบันได้สะดวก มีทั้งรถสาธารณะ รถไฟใต้ดิน รถบัส รถราง และที่สำคัญมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสถาบันที่ครบครัน อาทิเช่น Design Lab หรือ Fashion Lab เป็นต้น 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเรื่อง Domus Academy สถาบันในฝัน เหล่านักออกแบบ เชื่อว่าใครที่อยากเรียนต่อก็คงมี Domus Academy เป็นสถาบันในฝันอย่างแน่นอน เพราะที่นี่นั้นเป็นสถาบันการเรียนด้านออกแบบชั้นนำ และถ้าหากใครสนใจอยากเรียนต่อแต่ยังไม่รู้จะต้องทำอะไร เตรียมตัวอย่างไรดี ก็สามารถสามารถปรึกษาแนวทางเพิ่มเติมได้ทาง
line : @dpeducation

ประเทศที่เป็นสุดยอดทางด้านศิลปะของทางแดนยุโรป ก็คงหนีไม่พ้นประเทศ อิตาลี ซึ่งมีทั้งสถาปัตยกรรม และทิวทัศน์อันงดงามของทะเลและภูเขา อบอวลไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมที่สืบต่อมาอย่างยาวนาน และยังเป็นเป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางศิลปะและประวัติศาสตร์ ซึ่งแต่ละเมืองในอิตาลีก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สวยและดูแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ทำให้ประเทศอิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศยุโรปยอดนิยมที่ใครหลายๆคนต่างอยากมาท่องเที่ยว วันนี้เราจึงนำแหล่งท่องที่ เที่ยว อิตาลี มาฝากให้กับทุกคนกันในเรื่องแนะนำสถานที่เที่ยวอิตาลี เมืองในฝันที่ใครหลายๆคนอยากไป บอกเลยว่าแต่ละที่นั้นเป็นสถานที่ที่น่าประทับใจอย่างมาก จะมีที่ไหนบ้างนั้นเราลองไปดูต่อพร้อมกันได้เลย 

แนะนำสถานที่ เที่ยว อิตาลี

• กรุงโรม

มาเริ่มที่เที่ยวแห่งที่ 1 กันเลยนั่นก็คือ กรุงโรม นั่นเอง ซึ่งที่นี่เป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีและเป็นเมืองในอิตาลีที่ใหญ่ที่สุด มีความเก่าแก่กว่า 2,700 ปี กรุงโรมคือแหล่งรวมโบราณสถานที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศหลากหลายแห่ง และยังเป็นแหล่งรากฐานสำคัญของศิลปะและสถาปัตยกรรมตะวันตกอย่างมากมายอีกด้วย 

• มหาวิหารแพนธีออน (Pantheon)

ที่เที่ยวอิตาลีแห่งต่อมาคือ มหาวิหารแพนธีออน (Pantheon) เรียกได้ว่าเป็นมหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโรม สร้างขึ้นโดยแม่ทัพ  Marcus Agrippa มีความเก่าแก่ถึง 2,000 ปี ด้านในประดิษฐานของเทพเจ้าแห่งกรีก-โรมัน หลายองค์ เพื่อเป็นเทวสถานบูชาเทพเจ้าทั้ง 7 แห่งดาวในระบบสุริยะ มีความโดดเด่นคือ เป็นโดมขนาดใหญ่ ด้านในมีลักษณะเป็นช่องวงกลม (Oculus) แสงจะส่องเข้ามาในวิหารผ่านช่องนี้ ดูคล้ายกับดวงตาสวรรค์ที่เชื่อมโยงมนุษย์กับเทพเจ้าเข้าด้วยกัน

• โคลอสเซียม – Colosseum

มาถึงที่เที่ยวแห่งที่ 3 คือ โคลอสเซียม – Colosseum เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคใหม่ ซึ่งเป็นสนามกีฬาโบราณขนาดใหญ่ สร้างขึ้นในช่วงจักรวรรดิโรมัน โดยจักรพรรดิเวสเปเชี่ยน อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลม ที่สามารถจุคนได้มากถึง 50,000 คน เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยมีการสร้างขึ้นในสมัยโรมัน และปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านการประหารชีวิตอีกด้วย 

• เมืองมิลาน 

มาถึงแห่งที่ 4 นี้เป็นเมืองในอิตาลีที่โดดเด่นในเรื่องแฟชั่นและการออกแบบ นั่นก็คือ เมืองมิลาน เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอิตาลี เต็มเปี่ยมไปด้วยงานศิลปะและสถาปัตยกรรมที่สวยงามมากมาย และนอกจากนี้ยังมีมหาวิหารมิลาน ที่โดดเด่นทางสถาปัตยกรรมในรูปแบบ Gothic และถือว่าเป็นมหาวิหารรูปแบบ Gothic ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก เป็นมหาวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการสักการะพระแม่มารีให้ประทานบุตรชายเพื่อเป็นทายาทสืบทอดตระกูล บริเวณยอดใหญ่ตรงกลางวิหารมีสิ่งที่เรียกว่า Madunina ซึ่งเป็นรูปปั้นแม่พระ ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ จึงมีความสวย มีความวิจิตร ตระการตาเป็นอย่างมาก

• เวนิส

มาถึงสถานที่เที่ยวอิตาลีที่ 5 แล้วก็คือ เวนิส ที่นี่มีฉายาว่า “ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก” (The Queen of the Adriatic) หรือ “เมืองแห่งสายน้ำ” (The City of Water) ซึ่งรายล้อมไปด้วยคูคลองถึง 150 สาย ไหลผ่านรอบๆเมือง มีสถาปัตยกรรมหลากหลาย ตึกอาคารสีสันสดใสตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าอย่างสวยงาม จนทำให้ยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลก

• มหาวิหารฟลอเรนซ์

มาถึงเมืองในอิตาลีสถานที่ท่องเที่ยวอิตาลีแห่งสุดท้ายก็คือ มหาวิหารฟลอเรนซ์ เป็นมหาวิหารที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิหารที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี มีอายุเก่าแก่มากกว่า 800 ปี มีไฮไลท์ของมหาวิหารคือโดมสีส้มขนาดใหญ่ ตัดกับโครงสร้างอาคารที่เป็นหินอ่อนสีขาว ตกแต่งเพิ่มด้วยหินแกะสลักสีเขียวและสีชมพู ซึ่งเป็นรูปแบบของสถาปัตยกรรมสไตล์ Neo Gothic นั่นเอง 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสถานที่ท่องเที่ยวในอิตาลีที่เรานำมาแนะนำกันผ่านในเรื่องแนะนำสถานที่เที่ยว อิตาลี เมืองในฝันที่ใครหลายๆคนอยากไป ที่เรานำมาฝากกัน หากใครที่กำลังมีแผนอยากไปศึกษาต่อในด้านแฟชั่นและการออกแบบที่ประเทศอิตาลี แต่ยังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ และไม่มีแนวทางในการเตรียมตัว สามารถปรึกษาเพิ่มเติมได้ทาง
Line : @dpeducation เพื่อคำแนะนำดีๆ และที่ปรึกษาในด้านการเรียนต่อประเทศอิตาลี

ในสมัยก่อนการประกอบ อาชีพที่เกี่ยวกับศิลปะในประเทศไทยนั้นอาจจะยังไม่ได้ถูกจับตามองมากเท่าไหร่ และนอกจากนี้ยังอาจจะถูกเรียกได้ว่าเป็นศิลปินไส้แห้งอีกด้วย แต่ในปัจจุบันนี้กำลังได้รับความนิยมขึ้นสูงมาก ไม่เพียงแต่อาชีพที่เกี่ยวกับงานศิลปะเท่านั้น ยังมีงานศิลปะด้านอื่นๆ ร่วมด้วย

อีกทั้งศิลปะและการออกแบบยังเป็นที่ต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคตอีกด้วย วันนี้เราจึงนำพาทุกคนมาทำความรู้จักกับอาชีพนี้กันให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เด็กสายศิลป์ สายอาร์ตทุกคนนั้นได้ตัดสินใจและเลือกมีอาชีพที่เป็นตัวเลือกดี ๆ ในอนาคตผ่านเรื่อง 5 อาชีพที่ ที่ได้รับความนิยมในไทยมาฝากกัน จะมีอาชีพไหนที่น่าสนใจบ้างนั้นเราลองไปดูพร้อมกันได้เลย 

อาชีพที่เกี่ยวกับศิลปะ ที่ได้รับความนิยมในไทย 

• อาชีพที่ 1 : Art Director

มาเริ่มกันที่อาชีพแรกกันเลยดีกว่านั่นก็คืออาชีพ Art Director นั่นเอง หรือที่เรานั้นรูกจักกันในชื่อว่า ผู้กำกับศิลป์ อาชีพนี้เป็นอาชีพที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาพและการจัดองค์ประกอบของงานต่าง ๆให้ออกมาดูสวยงามและตอบโจทย์ต่อความต้องการของลูกค้าในการสื่อสารข้อมูลให้กับผู้บริโภคได้มากที่สุด โดยผ่านการเผยแพร่งานทางช่องทางออนไลน์ทั้งสื่อโทรทัศน์ การแสดงสด สื่อโฆษณา ภาพยนตร์ หรือสิ่งพิมพ์ และจะต้องกำกับดูแลนักออกแบบและศิลปินอีกด้วย ซึ่งเป็นอาชีพที่ได้ใช้ความสร้างสรรค์และครีเอทีฟในตัวเองอย่างสูงมาก และรายได้ก็ดีมากๆจึงได้รับความนิยมในประเทศไทย

• อาชีพที่ 2 : ศิลปิน Art toy

มาต่อกันกับอาชีพที่ 2 ก็คือ ศิลปิน Art toy ในปัจจุบันนั้นวงการอาร์ตทอยได้รับความนิยมสูงขึ้นมากๆทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เป็นงานศิลปะที่สร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบของเล่น จึงเป็นอาชีพที่ประเภทงานประติมากรรม อาศัยในด้านของการออกแบบเป็นหลัก ใช้เครื่องมือประเภทต่างๆในการออกแบบและสร้างสรรค์ผลงานได้ทั้งหมด ปัจจุบันสังคมศิลปินอาร์ตทอย เป็นที่รู้จักมากขึ้น และสามารถเติบโตขึ้นได้เรื่อย ๆ

• อาชีพที่ 3 : Digital Designer

มาที่อาชีพที่ 3 กันแล้วที่เป็นอาชีพเกี่ยวกับศิลปะที่ได้รับความนิยมในไทย นั่นก็คือ Digital Designer อาชีพนี้เป็นอาชีพที่อาศัยการออกแบบและสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบใหม่ๆที่ทันสมัยอยู่เสมอ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ให้กับลูกค้าที่ปนะกอบธุรกิจได้ในทุกแขนง เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ได้รับการยอมรับมาโดยตลอด อาทิเช่น หากเป็นการออกแบบและสร้างสรรค์การตัดเย็บเสื้อผ้า ก็จะต้องออกแบบให้ตรงความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

• อาชีพที่ 4 : นักออกแบบรอยสักหรือช่างสัก 

มาอาชีพที่ 4 แล้วก็คือ นักออกแบบรอยสักหรือช่างสัก ซึ่งคนไทยในปัจจุบันนี้หันมาชอบในด้านของการสักลายบนเรือนร้างและร่างกายเพิ่มมากขึ้น โดยเป็นอาชีพเกี่ยวกับงานศิลปะที่ต้องชื่นชอบในการเพนต์หรือวาดลวดลายต่างๆ บนเนื้อหนัง หลงใหลในเรือนร่างของมนุษย์ในการประดับลวดลายสวยงาม หรือมีความแปลก นอกจากนี้อาชีพนี้ต้องมีการฝึกฝนอยู่สม่ำเสมอ เพราะศิลปะรอยสักเป็นภาพที่หลากหลาย ไม่เหมือนรูปที่วาดทั่วไป

• อาชีพที่ 5 : นักร้อง นักดนตรีและนักแต่งเพลง

มาถึงอาชีพสุดท้ายกันแล้วนั่นก็คือ นักร้อง นักดนตรีและนักแต่งเพลง ที่ปัจจุบันนั้นมีหน้าใหม่เพิ่มขึ้นในวงการตลาด โดยเฉพาะตลาดวงการ T-POP เนื่องจากเพลง T-POP นั้นเป็นเพลงที่ใช้การสร้างสรรค์เพลงออกมาให้ติดหูคนฟัง มีการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของวงการดนตรีในประเทศไทย และมีการนำเทคโนโลยีมาใช้สร้างสรรค์ผลงาน ทำให้อาชีพนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ที่กำลังได้รับความนิยมสูงขึ้นตลอดมา

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเกร็ดความรู้ ที่เราได้นำมาฝากกัน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่นอกจากนี้ก็ยังมีอาชีพเกี่ยวกับศิลปะอีกมากมายที่น่าสนใจในปัจจุบัน และถ้าหากใครสนใจอยากเรียนต่อในด้านแฟชั่นและการออกแบบ สนใจในด้านศิลปะแต่ไม่รู้ต้องเตรียมตัวอะไร อย่างไรบ้าง และต้องการคำแนะนำดีๆ ที่ปรึกษาในด้านการเรียนต่อ ก็สามารถรับคำแนะแนวเพิ่มเติมได้ทาง Line:@dpeducation ที่นี่เลย

การเรียนต่อในด้านสายแฟชั่นหรือด้านการออกแบบนั้นมีให้เราได้เลือกสาขาที่ต้องการได้อีกหลากหลายแขนงด้วยกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล วันนี้เราจึงจะพาทุกคนนั้นไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งแขนงในด้านของการออกแบบ นั่นก็คือ UX UI ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชา Interaction Design ที่หลายคนก็ต่างให้ความสนใจและอยากรู้ว่าวิชานี้คืออะไร และมีการเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้วเราลองไปทำความรู้จักกันในเรื่องแนะนำ UX UI คือ อะไร  ต้องเรียนสาขาวิชาไหน กันต่อไปได้เลย

UX UI คือ อะไร

หากใครที่กำลังสงสัยว่า UX UI นั้นคืออะไร เราไปทำความรู้จักกับการออกแบบในด้านนี้

•  UX ย่อมาจาก User Experience 

การออกแบบที่มุ่งเน้นให้ผู้ที่เข้ามาใช้งาน Digital Products ต่างๆ ได้มีประสบการณ์การใช้งานที่ดี โดยจะต้องเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ให้ความสำคัญกับความต้องการ ความรู้สึก และอารมณ์ รวมทั้งเน้นให้เกิดความพึงพอใจในการใช้งานเป็นหลัก โดยแต่ละผลิตภัณฑ์จะต้องมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้แก่ผู้ใช้ตามจุดประสงค์และเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์นั้นได้เป็นอย่างดี และมีลำดับขั้นตอนในการทำงานอย่างชัดเจน 

•  UI ย่อมาจาก User Interface

การออกแบบที่เน้นหน้าตาความสวยงามของ Digital Products โดยจะต้องออกแบบให้ทั้งสวยงาม สบายตา ส่งเสริมให้ผู้ใช้งานเข้าถึงประสบการณ์ที่ดี และใช้งานได้จริง ซึ่งการออกแบบให้สวยงามก็ต้องสอดคล้องกับข้อมูลของ UX ที่ได้ทำการค้นคว้าวิจัยมาก่อน

กระบวนการหรือแนวคิดในการออกแบบของ UX Design 

• Design Thinking การคือเชิงออกแบบ เป็นกระบวนการในการคิดที่ให้ความสำคัญกับปัญหาของผู้ใช้งาน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานจริงให้ได้มากที่สุด 
• Service Design เป็นออกแบบโดยมุ่งเน้นไปทางด้านการบริการ คำนึงถึงประสบกาณ์ของผู้ใช้งาน เพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพสูงสุดและมีความต่อเนื่อง
• Design Sprint เป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ออกสู่ตลาดแล้ว จะต้องมีความรวดเร็ว และความเป็นระบบในการแก้ไขปัญหาได้ดี
• User Centered Design เป็นการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเป็นหลัก มีการร่วมออกแบบและร่วมกันประเมินผลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด

ส่วน UI นั้นย่อมาจาก User Interface เป็นการออกแบบเพื่อเชื่อมประสานระหว่างผู้ใช้งานกับระบบหรือผลิตภัณฑ์ เช่น แป้นพิมพ์ หรือจอภาพ เน้นทางด้านหน้าตาของการออกแบบ เช่น ปุ่ม การวางภาพ ขนาดอักษร เป็นต้น 

องค์ประกอบในการออกแบบของ UI Design

• Information Design เน้นการออกแบบโดยการนำเสนอข้อมูล เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง
• Interaction Design เน้นทางด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้งานกับวัตถุ โดยมีการตอบสนองที่ถูกต้อง สามารถไปถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
• Information Architecture การจัดเรียงข้อมูลอย่างเป็นระบบและถูกต้อง เพื่อเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว
• Visual Design เน้นในเรื่องการนำเสนอภาพเพื่อความสวยงาม  ครบทุกองค์ประกอบ และเพื่อความเข้าใจง่าย
• Human Computer Interaction เน้นทางด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์

อยากเรียนในเรื่องของ UX UI เรียนสาขาไหนและเรียนที่ไหนดี?

ใครที่มีความสนใจในเรื่องของ UX UI วันนี้เรามีสถาบันออกแบบชั้นนำของโลกมาแนะนำ นั่นก็คือที่ DOMUS ACADEMY นั่นเอง ที่นี่นั้นเป็นสถาบันออกแบบชั้นนําของโลก กวาดรางวัลด้านการศึกษามากมาย ก่อตั้งโดย กลุ่มดีไซเนอร์อิตาเลียนและก่อตั้งขึ้นในปี 1982 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี มีชื่อเสียงด้านการออกแบบเชิงนวัตกรรม ติดอันดับท้อป 3 ของ ประเทศอิตาลี และติดอันดับท้อป 100 ของโลก ประจำปี 2022 (จัดอันดับโดย QS World University Rankings) โดยมีการเปิดสอนในระดับปริญญาโทหลากหลายสาขา ดังนี้ 

• สาขา ออกแบบด้านสถาปัตยกรรม (Interior Design ,Product Design และ Urban Design)
• สาขา Experience Design (Interaction Design (UX UI), Visual brand Design และService Design (ออกแบบระบบบริการ))
• สาขา Fashion (Management, Fashion Design และ Fashion Styling and Visual Merchandising)
• สาขา Business (Luxury Brand Management และBusiness Design)

ใครที่สนใจในด้านการเรียนออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) และการออกแบบอินเตอร์แอคทีฟ (UI) จะต้องเรียนใน สาขา Experience Design เลย เพราะที่นี่นั้นนักเรียนจะได้เรียนรู้และทำงานกับเทคโนโลยีและการสร้างสรรค์โซลูชั่นที่ตอบสนองต่อการใช้งานของผู้ใช้จริง ที่สามารถนำมาต่อยอดในสายอาชีพได้อย่างดี

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเกร็ดความรู้ดีๆในเรื่องแนะนำ UX UI คือ อะไร  ต้องเรียนสาขาวิชาไหน ที่ DOMUS ACADEMY มีการเรียนที่มุ่งเน้นในการนำความรู้ทางทฤษฎีขั้นสูงมาผสมผสานกับการทำงานในโครงการจริงในบริษัทชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญในวงการอุตสาหกรรมอีกด้วย หากใครที่สนใจอยากศึกษาต่อที่ DOMUS AChttps://dp-education.com/domus-academy/ADEMY แต่ยังไม่รู้จะทำอย่างไรดี สามารถรับคำแนะแนวเพิ่มเติมได้ทาง Line : @dpeducation ที่นี่เลย

การ เรียนต่อต่างประเทศ  ไม่ว่าจะเป็นในด้านของสายการเรียนไหนนั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความฝันของใครหลายคนที่อยากให้เป็นจริง เพราะเป็นหนทางในการเปิดประสบการณ์ใหม่ เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ และมีโอกาสที่จะต่อยอดเกี่ยวกับอาชีพในอนาคต แต่การจะไปให้ถึงฝันได้นั้น ก็ต้องรู้จัก “การเตรียมตัว” ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่ต้องใช้เวลา วางแผน และทุ่มเทในการไปเรียนต่างประเทศ วันนี้เราจึงพามาดู How to เตรียมตัว เรียนต่อ ต่างประเทศ เพื่อให้การเตรียมตัวของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแล้วไปดูเลย!

10 ขั้นตอนในการเตรียมตัว เรียนต่อ ต่างประเทศ

ขั้นตอนที่ 1 : กำหนดเป้าหมาย
การตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ สิ่งแรกที่ควรทำคือ ต้องมีการกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าอยากเรียนต่อในด้านไหน สาขาวิชาอะไร ไปเรียนที่ประเทศไหน แล้วเป้าหมายที่ไปเรียนคืออะไร เพื่อที่จะเริ่มเตรียมตัวได้อย่างถูกทาง

ขั้นตอนที่ 2 : เลือกประเทศและสถาบันศึกษา

เมื่อกำหนดสายการเรียนได้แล้ว ให้ทำการสำรวจประเทศที่คุณสนใจ โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ภาษา วัฒนธรรม สภาพอากาศ และระบบการศึกษาให้ครบถ้วน หลังจากนั้นทำการค้นหาสถาบันที่มีหลักสูตรที่ตรงกับความสนใจ โดยเรามี 3 สถาบันที่เป็น partner ด้านการเรียนแฟชั่น สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://dp-education.com/schools/ซึ่งขั้นตอนนี้คุณต้องตรวจสอบคุณสมบัติและข้อกำหนดการเข้าเรียนของแต่ละสถาบันให้ชัดเจน เช่น คะแนนสอบ ภาษา หรือประสบการณ์การทำงาน เพราะแต่ละสถาบันจะมีข้อกำหนดที่แตกต่างกัน

ขั้นตอนที่ 3 : หาข้อมูลของประเทศที่จะเรียนต่อ

อีกขั้นตอนสำคัญสำหรับการเตรียมตัวไปเรียน ต่างประเทศ คือการหาข้อมูลของประเทศที่จะเรียนต่อ โดยทำการหาตั้งแต่ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับประเทศ เช่น ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และที่ห้ามพลาดคือ ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาและมหาวิทยาลัยที่เลือกเรียน เช่น ประเภทของสถาบันการศึกษา หลักสูตร ระบบการวัดผล อันดับของมหาวิทยาลัย ความน่าเชื่อถือ สาขาวิชา ค่าเล่าเรียน และทุนการศึกษา เพื่อเตรียมพร้อมในเรื่องข้อมูลรอบตัวให้ครบถ้วน

ขั้นตอนที่ 4 : เตรียมเอกสาร

เอกสารที่ต้องเตรียมในการเรียน ต่างประเทศมีหลายอย่าง คือ

• เอกสารส่วนตัว เช่น หนังสือเดินทาง ใบรับรองผลการศึกษา ทรานสคริปต์
• จดหมายแนะนำ (Letters of Recommendation) ที่จะเขียนแนะนำจากบุคคลที่ 3 ที่รู้จักตัวคุณดีถึง เขียนเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครเรียน โดยถ้าเขียนออกมาดี ก็จะทำให้มีโอกาสเข้าเรียนต่อมากขึ้น
• จดหมายแนะนำตัว (Statement of Purpose) เขียนอธิบายถึงความตั้งใจและเหตุผลที่ต้องการเรียนต่อในสาขาที่เลือก แรงผลักดัน และเป้าหมายในอนาคตอีกด้วย
• ประวัติส่วนตัว (CV/Resume) สิ่งสำคัญที่สุดในการอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีโอกาสเข้าเรียนมากขึ้น

ขั้นตอนที่ 5 : เตรียมภาษาและการสอบต่างๆ

เตรียมภาษาให้พร้อมด้วยการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ เช่น TOEFL, IELTS หรือภาษาอื่นๆ ตามที่สถาบันการศึกษากำหนด รวมถึงสอบวิชาพื้นฐาน เช่น GMAT, GRE สำหรับหลักสูตรที่กำหนดด้วย 

ขั้นตอนที่ 6 : วางแผนการเงิน

วางแผนการเงินให้ดี ต้องคำนวณค่าใช้จ่าย ทั้งค่าเทอม ค่าที่พัก ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อให้เพียงพอในการไปศึกษาต่อ มองหาช่องทางการหาเงิน และทุนการศึกษาที่คุณสมบัติเข้าเกณฑ์ เพื่อยื่นขอทุนในการแบ่งเบาค่าใช้จ่ายนั่นเอง โดยหากใครที่สนใจทุนในการเรียนต่อ ลองดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://dp-education.com/scholarship/ เผื่อว่าจะเจอทุนดีดีที่ตรงใจ

ขั้นตอนที่ 7 : สมัครเรียน

ทำการสมัครเรียนโดยให้ส่งใบสมัครตามขั้นตอนอย่างครบถ้วน และต้องส่งตามเวลาที่สถาบันการศึกษากำหนด รวมทั้งติดตามผลการสมัคร เพื่อทำการตอบรับยืนยันสิทธ์เข้าศึกษาต่อ เมื่อมีการตอบรับจากสถาบันการศึกษาเข้ามา

ขั้นตอนที่ 8 : เตรียมตัวก่อนเดินทาง

ทั้งการขอวีซ่าตามข้อกำหนดของประเทศที่จะไปศึกษา โดยสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการขอ visa ได้ที่            ขั้นตอนการขอ visa นอกจากนี้การจัดหาที่พักที่เหมาะสม และจัดกระเป๋าเดินทาง เตรียมสิ่งของจำเป็น เอกสารสำคัญ และของใช้ส่วนตัวให้ครบถ้วน

ขั้นตอนที่ 9 : เตรียมปรับตัวใช้ชีวิตในต่างประเทศ

เตรียมตัวสำหรับการเรียนให้พร้อมในระบบการศึกษาที่แตกต่าง สร้างเครือข่าย เข้าร่วมกลุ่มนักศึกษาไทยหรือกลุ่มนักศึกษานานาชาติ เพื่อหาคำแนะนำและความช่วยเหลือ อย่าลืมศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ เพื่อให้ปรับตัวใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น

ขั้นตอนที่ 10 : ติดตามและประเมินผล

สุดท้ายหลังจากที่ไปเรียน ต่างประเทศแล้ว ต้องอย่าลืมประเมินผลการเรียน ติดตามความก้าวหน้าทางการศึกษา เพื่อวางแผนสำหรับอนาคต หรือมองหาโอกาสในการทำงานหลังจากสำเร็จการศึกษาเรียบร้อย
เป็นอย่างไรบ้างคะกับ How to เตรียมตัว เรียนต่อต่างประเทศที่เรานำมาฝากกัน จะเห็นได้ว่าการเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศนั้น ต้องใช้ทั้งความรอบคอบและการวางแผนที่ดี เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ และได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่าในการศึกษาและใช้ชีวิตต่างประเทศ

ซึ่งหากใครที่สนใจเรียนต่อ ต่างประเทศในสายแฟชั่น สามารถเข้าไปดูรายละเอียดและขอคำปรึกษาในการเรียนต่อกับ DP Education ที่จะช่วยสานฝันของนักเรียนสายแฟชั่น ศิลปะ และการออกแบบให้สามารถเป็นจริง รวมถึงมีการแนะแนวให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเรียนต่ออย่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณสามารถเตรียมพร้อมก่อนใครในการไปเรียนต่อต่างประเทศในสายแฟชั่นที่ชื่นชอบ โดยหากสนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://dp-education.com/ แล้วการเรียนต่อต่างประเทศของคุณจะง่ายขึ้นกว่าเดิมทันที

ความสวยความงามในด้านของการแต่งตัวและเสื้อผ้า หรือที่เรียกว่า “แฟชั่น” เป็นสิ่งที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนปัจจุบัน อีกทั้งวงการทางด้านออกแบบและแฟชั่นก็กำลังพัฒนาไปไกลมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ใช้ว่าใครจะสามารถเรียนแฟชั่นได้ทันที เราจะต้องมีการเตรียมตัวและวางแผนในการเรียน เพื่อที่จะถามตัวเองว่าสิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์เราหรือไม่ วันนี้เราจึงได้นำความรู้ดีๆมาฝากกันในเรื่อง แฟชั่นดีไซน์ เรียนอะไรบ้าง จบไปทำอะไรได้บ้าง จะมีอะไรน่าสนใจบ้างนั้นเราไปติดตามเพิ่มเติมกันได้เลย

แฟชั่นดีไซน์ เรียนอะไรบ้าง

การเรียนแฟชั่นดีไซน์ ไม่เพียงแต่จะเรียนในด้านการออกแบบเสื้อผ้าเท่านั้น วงการแฟชั่นในปัจจุบันนั้น ก้าวไกลไปในหลากหลายทั้งในด้านการออกแบบเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง ชุดกีฬา ออกแบบลายผ้า รวมไปถึงด้านการตลาดแฟชั่น Fashion Management ตลอดจนการนำเสนอผลงาน และการจัดทำแฟชั่นโชว์อย่างมืออาชีพ หากใครที่กำลังมองหาการเรียนด้านแฟชั่น แต่ยังไม่รู้ว่าต้องเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมและสามารถทำงานได้อย่างตรงสายตามความต้องการ เราไปดูกันเลย! ว่าการเรียนแฟชั่นดีไซน์ เรียนอะไรบ้าง ดังนี้

1.เรียนวาดรูป

วิชาที่สำคัญที่สุดของการเรียนแฟชั่น โดยหลักๆจะเรียนด้านการสเก็ตช์ภาพ วาดคน มือ เท้า และทำความเข้าใจโครงหน้าของคน รวมถึงลักษณะทางกายภาพ การวาดหุ่นแฟชั่น การลงสีผ้าชนิดต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือการวาด Flat Drawing เพื่อเข้าใจรายละเอียดชุดได้ง่ายขึ้น

2.เรียนการตัดเย็บและสร้างแพทเทิร์น

โดยจะต้องเข้าใจโมเดลชุดใน 2 มิติลงบนกระดาษและนำมาประกอบกันเป็นชุด มิติ หรือการนำผ้ามาแต่งตัวกับหุ่น และเริ่มเรียนการตัดเย็บ ประดิษฐ์ชุดออก และการใช้อุปกรณ์ต่างๆ

3.เรียนสร้างคอลเลคชั่น

ต้องสามารถตีกรอบการออกแบบและทำการถ่ายทอดผ่านทาง Sketchbook และ Moodboard เพื่อสื่อสารการออกแบบกับลูกค้าอย่างเข้าใจง่าย มีชุดหลากหลายแบบจนเป็นคอลเลคชั่น

4.เรียนใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ต่างๆ

ทั้งโปรแกรม Illustrator Photoshop และ Indesign เพื่อใช้ในการออกแบบ วาดลวดลายต่างๆของผ้าและชุดที่ออกแบบ

5.เรียนเรื่องวัสดุและผ้า

ตั้งแต่เส้นใย การถักทอ คุณสมบัติต่างๆของผ้าต่างชนิด การพิมพ์ผ้าและวัสดุที่ใช้ในการออกแบบชนิดต่างๆทั้งหมด

6.ประวัติศาสตร์ของแฟชั่น

เพื่อให้เราเข้าใจเทรนด์ในยุคสมัยต่างๆ และสามารถนำมาปรับ ต่อยอดและประยุกต์กับไอเดียในการออกแบบของเราได้มากขึ้น

7.เรียนธุรกิจแฟชั่น

เพื่อที่เราจะรู้ว่าควรทำการตลาดอย่างไรถึงจะดึงดูดลูกค้า สร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ มีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไรที่จะสร้างกำไรได้

เรียนแฟชั่น จบมาทำอะไรได้บ้าง?

แฟชั่น ดีไซเนอร์ หรือนักออกแบบแฟชั่น 

เชื่อว่าอาชีพแฟชั่น ดีไซเนอร์คงเป็นหนึ่งอาชีพที่หลายๆคนสนใจ เพราะเป็นอาชีพที่สามารถออกแบบเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หรือรูปแบบชุดต่างๆได้เองตามความชอบของแฟชั่น ดีไซเนอร์ให้กับแบรนด์ดังต่างๆ แต่จะต้องถูกใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า อีกทั้งยังต้องมีเอกลักษณ์ มีสไตล์ของตนเองอย่างโดดเด่นและดึงดูดอีกด้วย

Fashion journalist Stylist / Makeup artist / Digital content creator

เป็นการนำความรู้ในด้านการเรียนแฟชั่นมาต่อยอดในสายการสร้างคอนเทนต์เป็นหลัก โดยอาจจะไม่ต้องเรียนในด้านของการตัดเย็บหรือการประดิษฐ์เป็นหลัก แต่จะเรียนในด้านการจัดการเน้นศาสตร์การนำเสนอผลงานเกี่ยวข้องกับแฟชั่น

เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า 

การเป็นเจ้าของแบรนด์นั้นเราเป็นนายของตนเองจึงจะต้องเข้าใจทั้งศาสตร์การออกแบบ การตัดเย็บและยังต้องเข้าใจศาสตร์การทำธุรกิจ การตลาดและการจัดการด้วย เพื่อที่จะสามารถวางแผนร้าน ว่าจะสร้างกำไรให้กับร้านได้อย่างไรบ้าง

นายแบบ นางแบบ 

สำหรับใครที่ชื่นชอบการทำงานเบื้องหน้า เพราะการเรียนแฟชั่นจะช่วยให้สามารถนำความรู้มาต่อยอดในด้านการแสดงบุคลิกท่าท่างและสีหน้าที่ตอบโจทย์กับชุดมากที่สุด เพื่อนำเสนอชุดให้ออกมาดูสวย สง่า

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับแนวความรู้ดีๆที่เรานำมาฝากกัน นอกจากในประเทศไทยแล้วที่มีการสอนในด้านแฟชั่น ต่างประเทศอย่างประเทศอิตาลีก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อในด้านการเรียนแฟชั่นมาก ช่วยเปิดประสบการณ์ของการออกแบบทั่วโลกให้เรา หากใครมีความสนใจอยากเรียนต่อแฟชั่นที่อิตาลี สามารถรับคำแนะแนวเพิ่มเติมได้ทาง https://dp-education.com/ ซึ่งมีหลักสูตรการเรียนทั้งระยะสั้น ระยะยาว ปริญาตรี จนถึงปริญาโท พร้อมให้คำแนะนำอย่างดีที่สุดโดยเมื่อเรียนจบมาแล้วยังทำให้คุณสามารถต่อยอดเดินสายไปต่อในวงการแฟชั่นได้อีกยาวไกล ลองปรึกษาเราได้เลย!

สำหรับในวงการสร้างสรรค์อย่าง “วงการแฟชั่น” ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย และมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้อาชีพ art director หรือผู้กำกับศิลป์ ได้กลายเป็นบทบาทที่สำคัญและน่าจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นในวงการโฆษณา แฟชั่น ภาพยนตร์ หรือการออกแบบกราฟิก ซึ่งมีผู้ที่หลงใหลในแฟชั่นอีกหลายคนที่ชื่นชอบ และอยากเดินตามเส้นทางฝันในอาชีพนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นในบทความนี้ เราจะพาคุณไปเจาะอาชีพ art director คือ อะไร เพื่อให้คุณมั่นใจก่อนตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชีพนี้ ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันเลย

art director คืออะไร

ผู้กำกับศิลป์ เป็นตำแหน่งสำคัญที่รับผิดชอบในการกำกับและควบคุมทิศทางทางศิลป์ของโครงการ โดยดูแลงานด้านภาพทั้งหมด  ทั้งภาพนิ่ง  ภาพเคลื่อนไหว  และงานออกแบบต่างๆ ผ่านการทำงานร่วมกับทีมงานอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงต้องมีการจัดการองค์ประกอบทางศิลป์ให้สอดคล้องกับแนวคิดและเป้าหมายของโครงการ เปรียบเสมือนหัวเรือใหญ่ที่คอยควบคุมทิศทาง  แนวคิด  และรายละเอียดของงาน  เพื่อให้สื่อสารและบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด

art director หน้าที่อะไรบ้าง

สำหรับอาชีพ art director หน้าที่ที่ต้องทำจะมีหลายอย่าง โดยมุ่งเน้นการกำกับและควบคุมทิศทางทางศิลป์ของโครงการต่างๆ ในวงการแฟชั่น เช่น โฆษณา แฟชั่น ภาพยนตร์ หรือการออกแบบกราฟิก ซึ่งในการทำงานจะต้องมีหน้าที่หลัก ดังนี้ 

1.กำหนดแนวคิดและทิศทาง 

เริ่มจากการวิเคราะห์โจทย์จากลูกค้า เข้าใจความต้องการ และถ่ายทอดเป็นภาพรวมของงานเพื่อกำหนดคอนเซ็ปต์ ธีม สไตล์ โทนสี องค์ประกอบภาพ และรายละเอียดต่าง ๆ รวมถึงนำเสนอไอเดีย ภาพตัวอย่าง และ Moodboard เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพรวม

2.ดูแลภาพรวมของงาน

ควบคุมดูแลงานศิลป์ทุกชิ้นให้สอดคล้องตามแนวคิดที่กำหนดไว้ โดยต้องควบคุมเวลา งบประมาณ และคุณภาพของงาน ตรวจสอบความถูกต้อง ความเรียบร้อย และความสมบูรณ์แบบของงาน

3.ทำงานร่วมกับทีมงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ทำงานรวมกับทีมอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กราฟิกดีไซเนอร์ ช่างภาพ สไตล์ลิสต์ นักเขียนบท ผู้กำกับ ฯลฯ ต้องประสานงานกับทุกฝ่าย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของงาน

4.คัดสรรงานศิลป์

คัดเลือกผลงานจากศิลปิน ช่างภาพ สไตลิสต์ ที่ตรงกับคอนเซ็ปต์ของงาน รวมถึงทำการเจรจาต่อรองในเรื่องลิขสิทธิ์ การใช้งาน และการนำเสนอผลงาน

แก้ไขปัญหาและตัดสินใจ

แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว สามารถทำงานภายใต้ความกดดันรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน และหาทางออกที่ดีที่สุด

art director เรียนจบแล้วทำงานสายไหนได้บ้าง

• โฆษณาและการตลาด สร้างแบรนด์และโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการผ่านสื่อต่างๆ เช่น โฆษณาพิมพ์ โฆษณาทางโทรทัศน์ และโฆษณาออนไลน์
• ภาพยนตร์และโทรทัศน์ กำกับทิศทางทางศิลป์ของฉาก และผลงานในภาพยนตร์ หรือรายการโทรทัศน์ เพื่อให้ภาพไล่ลพดับ สวยคมชัด ดูแล้วประทับใจ
• สื่อสิ่งพิมพ์ ออกแบบเนื้อหาและกราฟิกสำหรับใช้ประกอบในนิตยสาร หนังสือพิมพ์ และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
• ออกแบบแฟชั่น กำกับทิศทางทางศิลป์ของคอลเลคชันแฟชั่น รวมถึงการจัดแสดงแฟชั่นโชว์ในงานต่างๆ เพื่อให้โชว์ออกมาสมบูรณ์แบบ
• อินเทอร์เน็ตและสื่อดิจิทัล ออกแบบและพัฒนาสื่อดิจิทัล เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย
• วงการเพลงและบันเทิง ทำงานกับศิลปินและผู้กำกับมิวสิกวิดีโอในการกำกับทิศทางทางศิลป์ของวิดีโอเพลง เพื่อให้ดึงดูดคนมาชม
• ออกแบบภาพประกอบ ทำงานกับนักวาดในการสร้างภาพประกอบสำหรับหนังสือ เว็บไซต์ และสื่อต่าง ๆ เพื่อสื่อสารให้คนอยากอ่านหนังสือ
• สื่อเกมหรือแอนิเมชั่น ทำงานกับบริษัทสร้างเกม หรือสร้างแอนิเมชั่นต่างๆ ในการกำกับทิศทางทางศิลป์ของผลงาน เพื่อทำให้เกมหรือแอนิเมชั่นน่าสนใจ
  

ถ้าอยากเป็น art director ต้องเรียนอะไร

สำหรับใครที่สนใจ หลงใหล และอยากเดินสายเส้นทางอาชีพ art director นี้ ก็ควรที่จะเรียนต่อในด้านแฟชั่นโดยตรง เพื่อให้ตอบโจทย์และตรงประเด็น ลองศึกษาเพิ่มเติมในคณะ Fashion Styling อย่างของ istituto marangoni โดดเด่นด้านแฟชั่นและการออกแบบในชนิดที่ไม่เป็นรองใคร มีสาขาให้เลือกเรียน ดังนี้ 

• Fashion Styling & Creative Direction
• Fashion Styling & Visual Merchandising 

ทั้งสองสาขาถือเป็นสายการเรียนเพื่อต่อยอดไปในสายอาชีพ art director โดยตรง และประสบการณ์ได้อีกยาวไกลแน่นอน หากใครที่ต้องการปรึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรนั้น เรายินดีเเนะเเนวคอร์สเรียนที่เหมาะสมกับผู้เรียน และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการไปศึกษาต่อต่างประเทศตั้งแต่คอร์สระยะสั้น คอร์สภาคฤดูร้อน หลักสูตรปริญญาตรี ไปจนถึงปริญญาโทอีกด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Line : @DPeducation

เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับคนที่ชื่นชอบอาชีพ art director คงจะพอเห็นภาพกันแล้วว่า art director คืออะไร มีหน้าที่อะไร และสามารถต่อยอดไปทำงานในสายไหนได้บ้าง อย่าลืมนะคะ “art director” ถือเป็นตำแหน่งที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะและดีไซน์มากพอสมควร  หากสนใจอยากเรียนต่อสายแฟชั่นในต่างประเทศ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอคำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับหลักสูตรได้ที่ https://dp-education.com/ ซึ่งงมีหลักสูตรและสถาบันให้เลือกอีกหลายหลาย ลองเข้าไปดู เพื่อนำเทรนด์แฟชั่นก่อนใคร!

บนโลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยเทรนด์และสไตล์ใหม่ๆตลอดเวลา ทำให้วงการแฟชั่นมีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หากใครที่เป็นชาวสายแฟชั่น ก็ต้องทันสมัย อัพเดตเทรนด์ให้ไวกว่าใคร หรือแม้กระทั่ง “สไตล์ลิส” ก็เช่นกัน ต้องรู้จักปรับตัวเป็นผู้ตามเทรนด์ให้ทัน เพื่อให้ได้โอกาสแห่งความสำเร็จรวดเร็วก่อนใคร เพราะทุกคนย่อมรู้อยู่แล้วว่าการทำงานในอาชีพนี้ เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสที่น่าสนใจ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่รักและหลงใหลในการสร้างสรรค์ในบทความนี้ เราจะพามารู้จักอาชีพนี้ พร้อมตอบข้อสงสัยให้ว่ามีดีอย่างไร พร้อมแล้ว ไปดูพร้อมกันเลย!

ทำความรู้จักกับ “อาชีพ สไตล์ลิส”

Stylist คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งกายและแฟชั่น เป็นหนึ่งในอาชีพที่มีความสำคัญกับวงการแฟชั่นและบันเทิง โดยมีหน้าที่ในการทำหน้าออกแบบและจัดการสไตล์การแต่งกาย การแต่งหน้า คัดสรรเสื้อผ้า เครื่องประดับ และพร็อพต่างๆ  ให้เข้ากับธีมหรือภาพลักษณ์ เพื่อสร้างลุคให้กับบุคคลหรือแบรนด์ตามโจทย์ที่กำหนด  อาชีพนี้จึงเปรียบเสมือนศิลปินที่คอยเนรมิตผลงานผ่านการแต่งกาย และมีบทบาทในการให้คำปรึกษาด้านแฟชั่น และการสร้างสรรค์สไตล์ที่โดดเด่นและทันสมัย

ทําอะไรบ้าง

Stylist  เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ จัดการสไตล์การแต่งกาย และการนำเสนอตัวตนของบุคคลหรือสินค้าในหลากหลายบริบท ซึ่งบทบาทและหน้าที่ของสไตลิสต์นั้น มีความหลากหลาย ดังนี้

1. ออกแบบลุคให้ตรงคอนเซ็ปต์

หน้าที่หลักสำหรับอาชีพนี้ คือ การออกแบบลุคหรือสไตล์การแต่งกายให้ตรงกับคอนเซ็ปต์ หรือความต้องการ รวมถึงการเลือกเสื้อผ้า รองเท้า พร็อพ และเครื่องประดับ ให้เหมาะสมกับโอกาส บุคคล และบุคลิกของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นงานแฟชั่นโชว์ การถ่ายภาพยนตร์ มิวสิกวิดีโอ หรือการออกสื่อต่างๆ  โดย Stylist ที่ดีนั้น จะต้องตามทันเทรนด์แฟชั่น  และเปลี่ยนแปลงรูปแบบแฟชั่นได้ทันตามโลกที่หมุนไปทุกวัน

2. ที่ปรึกษาด้านแฟชั่น

อีกหนึ่งหน้าที่สำคัญ คือ การให้คำปรึกษาด้านแฟชั่นแก่ลูกค้า โดยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกเสื้อผ้า การจับคู่สี และสไตล์ที่เหมาะสมลงตัว ทั้งกับแบรนด์ บุคลิกภาพ รูปร่าง  รวมถึงคอยอัพเดตเทรนด์และแนวโน้มแฟชั่นใหม่ๆ อยู่สม่ำเสมอ

3. จัดการเสื้อผ้า เครื่องประดับ และอุปกรณ์

ดูแลจัดการเสื้อผ้า เครื่องประดับ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการทำงาน เช่น การเตรียมเสื้อผ้าสำหรับการถ่ายทำ การจัดการการขนส่งเสื้อผ้า และการดูแลรักษาเสื้อผ้าให้อยู่ในสภาพดี

4. ทำงานได้หลากหลาย และร่วมกับทีมอย่างสร้างสรรค์

ทำงานได้หลากหลายบริบท รู้จักช่วยจัดวางสินค้าสำหรับถ่ายภาพโฆษณา หรือจัดแสดงสินค้าเพื่อนำเสนอความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ รวมถึงต้องสามารถทำงานร่วมกับทีมอื่นๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ เช่น ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ช่างภาพ และดีไซเนอร์ เพื่อสร้างลุคที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งการสื่อสารและทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นสิ่งสำคัญในบทบาทนี้ เพื่อได้งานที่ออกมาตรงใจที่สุด

5. วิจัยและติดตามเทรนด์แฟชั่น

การสร้างสรรค์สไตล์ที่ทันสมัยได้ตลอดเวลา ต้องอาศัยการติดตามเทรนด์แฟชั่นและแนวโน้มต่างๆอยู่เสมอ รวมถึงต้องมีการทำวิจัยเกี่ยวกับแบรนด์ใหม่ๆ เข้าร่วมงานแฟชั่นโชว์ อีเวนต์ต่างๆ เพื่ออัพเดตความเปลี่ยนแปลงให้โลกของแฟชั่น

ทำไมถึงอยากทำอาชีพนี้

เป็นอย่างไรบ้างคะ คงเห็นแล้วว่าสไตล์ลิส ทําอะไรบ้าง! และอย่าลืมนะคะว่า Stylist ไม่เพียงแค่เลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นผู้ที่นำเสนอสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ สร้างสรรค์ผลงานที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้าอีกด้วย การทำงานในอาชีพนี้จึงเต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสที่น่าสนใจ จึงต้องรู้จักสื่อสารให้ดี ทำงานได้หลากหลายมีประสิทธิภาพ และหากใครที่อยากเดินสายเส้นทางอาชีพนี้ ก็สามารถเริ่มต้นจากการเรียนต่อทางด้านแฟชั่น อย่างเช่นสาขา Fashion styling เพื่อต่อยอดขอคำปรึกษา และพัฒนาเข้าสู่เส้นทางที่ชอบที่ถูกใจ สนใจหลักสูตรสายแฟชั่นสาขา Fashion styling หรือสาขาอื่นๆ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://dp-education.com/ แล้วคุณจะเป็นสไตล์ลิสคนใหม่ ที่โลดแล่นแจ้งเกิดบนเส้นทางสายแฟชั่นได้อย่างที่ต้องการ

การเรียนต่อในด้านสายแฟชั่นและการออกแบบ คงเป็นสิ่งที่นักเรียนหลายคนมีความใฝ่ฝันและสนใจในด้านนี้กันเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าหากได้มีโอกาสไปเรียนด้านแฟชั่นที่ต่างประเทศก็จะยิ่งได้วิชาความรู้จากกระบวนการสอนที่แตกต่างจากในประเทศไทย และนำมาต่อยอดในสายงานได้ดีมากยิ่งขึ้น หนึ่งในสถาบันที่สอนด้านการออกแบบแฟชั่นที่ต่างประเทศที่มีชื่อเสียงทางด้านนี้และมีการเปิดสอนเฉพาะหลักสูตรเกี่ยวกับแฟชั่นและการออกแบบ นั่นก็คือ “istituto Marangoni” แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแล้วสถาบันนี้มีดีอย่างไร วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับสถาบันนี้ให้มากขึ้น จะเป็นอย่างไรกันบ้างนั้นเราไปศึกษาเพิ่มเติมต่อกันเลย

ทำความรู้จักกับสาบัน istituto Marangoni

สถาบันเอกชนสอนแฟชั่นเก่าแก่ของโลก ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1935 ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เป็นสถาบันขึ้นชื่อแนวหน้าของประเทศอิตาลีในด้านการเรียนแฟชั่นและการออกแบบ และปัจจุบันสถาบันนี้ได้เปิดสอนในหลักสูตรในเมืองใหญ่ๆอีกหลายแห่ง เรียกได้ว่าสถาบันนี้มีหลายวิทยาเขต ที่ครอบคลุมทั่วโลกให้เลือกไปเรียน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสถาบันที่ดีที่สุดอีกหนึ่งแห่งของโลก โดยที่สถาบันแห่งนี้มีเป้าหมายในการถ่ายทอดเทคนิค ฝึกฝนเฉพาะทางด้านแฟชั่น เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของตลาดโลกมากที่สุด มีคอร์สเรียนที่หลากหลาย และเป็นผู้นำทางด้านการออกแบบ การบริหารและการสื่อสารสำหรับทุกธุรกิจ  

สถาบันนี้ มีดียังไง

1.ได้ศึกษาแฟชั่นจากศูนย์กลางในด้านแฟชั่นของโลก

การศึกษาที่มารังโกนีนั้นไม่เพียงแต่มีที่ประเทศอิตาลีเท่านั้น ยังมีวิทยาเขตอื่นๆทั้ง 4 แห่ง ที่ตั้งอยู่ในมหานครแฟชั่นของโลก เมืองมิลานและเมืองฟลอเรนซ์ในประเทศอิตาลี กรุงลอนดอนในประเทศอังกฤษ และกรุงปารีสในประเทศฝรั่งเศส ที่จะช่วยในการสร้างโอกาสการเรียนรู้แฟชั่น ศิลปะและการออกแบบในศาสตร์ที่ประเทศไทยไม่อาจจะสอนได้ ได้เรียนรู้ขั้นตอนในการผลิตจริง โครงสร้างอุตสาหกรรมแฟชั่นทั้งหมด เนื่องจากประเทศอิตาลีเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตสินค้า luxury ต่างๆ ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าและเครื่องประดับ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางในด้านแฟชั่นของโลก

2.มีอาจารย์พิเศษที่เป็นปรมาจารย์ในด้านแฟชั่น ศิลปะและการออกแบบ

ที่จะช่วยทำให้เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของนักออกแบบและแฟชั่นมือหนึ่งของโลก อาทิเช่น มาสซิโม จอร์เกตติ (Massimo Giorgetti) ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แบรนด์ MSGM พอล แอนดรูว์ (Paul Andrew) นักออกแบบรองเท้าชื่อดัง และอดีตผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แบรนด์ซัลวาตอเร เฟอร์รากาโม (Salvatore Ferragamo) โอลิวิเยร์ รูสแตง (Olivier Rousteing) ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของบัลแมง (Balmain) หรือเคที แกรนด์ (Katie Grand) สไตลิสต์และบรรณาธิการนิตยสารชื่อดัง เป็นต้น

3.มีสาขาวิชาที่ครอบคลุมทุกความต้องการ

มีความหลากหลายและน่าสนใจ โดยเน้นการเรียนสาขา Fashion Business / Fashion design / Fashion styling ที่เปิดสอนทั้งระดับปริญญาตรีและโท รวมถึงมีหลักสูตรระยะสั้น 5 เดือน อีกทั้งยังมีหลักสูตรประกาศนียบัตรระยะสั้น ซึ่งใช้เวลาเรียนแค่ 1 ปี One Year Intensive Courses ที่เปิดรับนักศึกษาทุกระดับและไม่จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานในสาขาวิชา พร้อมมีการแนะเเนวคอร์สเรียนให้เหมาะสมกับผู้เรียน รวมถึงให้การแนะนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศกับสถาบันอีกด้วย 

4.ได้ลองปฏิบัติงานจริงกับแบรนด์ระดับโลก

การเรียนที่มารังโกนีนั้นจะมีผู้เชี่ยวชาญจากแบรนด์ดังระดับโลกมาฝีกสอนให้กับนักศึกษา อีกทั้งยังทำให้นักศึกษาได้มีโอกาสปฏิบัติงานจริง ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และได้เรียนรู้ขั้นตอนในการทำงานกับแบรนด์ระดับโลก อาทิเช่น แบรนด์ Christian Dior, Tod’s และ Dolce & Gabbana เป็นต้น เพื่อนำไปต่อยอดในสายอาชีพต่อไป

5.มีทุนการศึกษาให้

สถาบันมารังโกนีมีการเปิดรับสมัครชิงทุนการศึกษา 2 รอบ ต่อปี คือช่วงเทอมตุลาคม และช่วงเทอมกุมภาพันธ์ของทุกปี อีกทั้งยังมีทุนพิเศษอื่นๆเพิ่มเติมอย่างน้อย 3 โครงการ สำหรับนักเรียนที่ขาดเงินทุนการศึกษาแต่มีความสนใจในด้านการเรียนแฟชั่นและออกแบบอีกทั้งยังต้องการศึกษาต่อต่างประเทศอีกด้วย

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับข้อมูลดีๆที่เรานำมาฝากกันในเรื่องของแนะนำ istituto marangoni สถาบันนี้ มีดียังไง การศึกษาต่อด้านแฟชั่นในต่างประเทศนั้นนอกจากจะช่วยเปิดประสบการณ์แล้ว ยังช่วยให้เราเข้าใจเทรนด์แฟชั่นอย่างกว้างขวางและศึกษาความรู้ได้จากแบรนด์ดังทั่วโลกได้เป็นอย่างดี หากใครที่มีความสนใจอยากศึกษาต่อต่างประเทศทางสายแฟชั่น และสนใจศึกษาที่อีสตีตูโต มารังโกนี สามารถปรึกษาแนวทางเพิ่มเติมได้ทาง https://dp-education.com/

ในยุคที่ผู้คนให้ความสนใจกับศาสตร์แห่งความเชื่อกันมากขึ้น สายมู จึงกลายเป็นเทรนด์ที่มาแรง แม้กระทั่งในวงการแฟชั่น ที่ได้จับเครื่องของขลังต่างๆ มาผสมผสานกับดีไซน์ได้อย่างลงตัว ทั้งสะท้อนความเป็นตัวตน และเสริมดวงไปพร้อมกัน วันนี้เราจึงขอพามาแนะนำวิธีการมิกซ์แอนด์แมตช์ “มูเตลู” กับ “แฟชั่นดีไซน์” ให้ดูเก๋ไก๋และมีสไตล์ กับบทความนี้ จับคู่กันยังไง ให้มิกซ์แอนด์แมตช์ ไปดูพร้อมกันเลย!

ทำความรู้จักแฟชั่นดีไซน์กันก่อน

คือ ศิลปะการออกแบบเสื้อผ้า เครื่องประดับ และเครื่องแต่งกายอื่นๆ   โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น เทรนด์ สไตล์ วัสดุ ฟังก์ชั่น และความสะดวกสบาย ซึ่งนักออก จะเริ่มจากการหาแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลงานใหม่ๆ เพื่อออกแบบผลงานแฟ(ชั่น)ที่เข้าได้กับความต้องการของยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะยุคที่ต้องพึ่งดวง ก็คงหนีไม่พ้นการออกแบบดีไซน์ในสไตล์มูเตลูที่กำลังเป็นกระแสอละได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้

มิกซ์แอนด์แมตช์อย่างไรให้ลงตัว ?

1. มองหาสไตล์ตัวเองให้เจอ

จุดเริ่มต้นของการมิกซ์แอนด์แมทซ์ คือมองหาแรงบันดาลใจที่ใช่! และค้นหาสไตล์ที่ชอบ โดยคุณต้องมองหาสไตล์การออกแบบของตัวเองให้เจอ รู้จักสไตล์ว่าชอบแบบไหน เรียบหรู วินเทจ สตรีท หรือหวานๆ เพราะเมื่อรู้สไตล์แล้ว จะทำให้เลือกรูปแบบเครื่องรางที่เข้ากันได้ง่ายขึ้น เช่น

สไตล์เรียบหรู เลือกแมทซ์เครื่องรางที่มีดีไซน์เรียบง่าย โทนสีเรียบๆ
เช่น สร้อยคอหินมงคลสีเรียบ หรือเครื่องรางสไตล์แบบมินิมิลมินิใจ 

สไตล์วินเทจ เลือกแมทซ์เครื่องรางที่มีกลิ่นอายโบราณ
เช่น พระเครื่องเก่า หรือเหรียญโบราณ มาผสมผสานให้ลงตัว

สไตล์สตรีท เลือกแมทซ์เครื่องรางที่มีความเท่ห์
เช่น กำไลข้อมือแบบเชือก เชือกแดง  เชือกดำ 

สไตล์หวาน เลือกแมซ์เครื่องรางแบบความน่ารักสดใส
เช่น แมทซ์งานเชือกคู่จี้รูปมงกุฎ หรือสร้อยคอรูปดาว

2. เลือกเครื่องรางที่ใช่

เครื่องรางแต่ละชิ้น ย่อมมีความหมาย ความเชื่อและพุทธคุณที่ต่างกัน ต้องรู้จักเลือกเครื่องรางที่ใช่ เหมาะกับความหมายที่อยากให้เสริมดวงในด้านต่างๆ สอดคล้องกับสิ่งที่ปรารถนา 

เสริมดวงด้านการเงิน ใช้เครื่องรางที่มีพุทธคุณเกี่ยวกับการเรียกเงิน หรือโชคลาภ เช่น เหรียญกษาปณ์โบราณ หรือตะกรุดเรียกทรัพย์

เสริมดวงด้านเมตตามหานิยม ใช้เครื่องรางที่มีพุทธคุณเกี่ยวกับเสน่ห์ เช่น จี้หัวใจ นกสาริกา หรือพระขุนแผน

เสริมดวงด้านการงาน ใช้เครื่องรางที่มีพุทธคุณเรื่องการงาน เช่น พระพิฆเนศ พระราหู หรือรูปช้าง

เสริมดวงด้านแคล้วคลาดปลอดภัย ใช้เครื่องรางที่มีพุทธคุณเกี่ยวกับการป้องกันภัย เช่น พระเครื่อง ตระกรุด เบี้ยแก้ 

3. ดีไซน์ให้ลงตัว

เครื่องรางบางชิ้นอาจดูไม่ทันสมัย ไม่สวยงาม แต่เพียงนำมาดัดแปลง ปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ ใส่ลูกเล่นให้ทันสมัย ก็สามารถเข้ากันอย่างลงตัวได้ 

เปลี่ยนเชือกหนังสีเดิมๆ ให้เป็นเชือกไหมสีสันสดใส หรือเชือกถักแบบเก๋ๆ ดูมีสไตล์

หาจี้รูปดาว หัวใจ หรือตัวอักษร มาห้อยเพิ่มบนเชือก หรือสร้อยหินมงคล
ควบคู่กับของขลังต่างๆ เพื่อเพิ่มความสวยงามน่าสวมใส่

นำพระเครื่องมาทำเป็นสร้อยข้อมือ โดยใช้เชือกหนัง หินธรรมชาติ หรือลูกปัดร้อยเรียงตามสีให้ออกมาผสมผสานลงตัว

4. สายมู กับ แฟชั่น มิกซ์แอนด์แมตช์อย่างมีสไตล์

เพียงลองจับคู่เครื่องรางที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน หรือเลือกชิ้นที่มีสีสัน ลวดลาย ที่ดูเข้ากัน มาแมทซ์เข้ากับชุด เพื่อเพิ่มความสวยงาม ทำให้การแต่งกายดูมีเลเยอร์มากขึ้น

มิกซ์แอนด์แมตช์เครื่องรางที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน
เช่น สร้อยคอหินมงคลสีเขียวเสริมเรื่องโชคลาภ กับกำไลข้อมือหยกสีเขียว เสริมเงินทอง

มิกซ์แอนด์แมตช์เครื่องรางที่มีสีสัน ลวดลาย ให้เข้ากับชุด
เช่น สร้อยคอหินมงคลสีชมพู กับชุดเดรสสีชมพูหวานๆ

มิกซ์แอนด์แมตช์เครื่องราง เพิ่มเลเยอร์
เช่น ใส่สร้อยคอหินมงคลหลายเส้นแบบไล่ระดับสั้นยาว ให้ดูมีเลเยอร์

เป็นอย่างไรบ้างคะ “มูเตลู” กับ “แฟชั่นดีไซน์” ไม่ได้ขัดแย้งกันเลย เพียงเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์อย่างชาญฉลาด ก็สามารถเสริมดวงและสร้างสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ วงการสายแฟชั่นยังมีการออกแบบมิกแอนด์แมทซ์ที่เปิดกว้างอีกมากมาย เพียงรู้จักเลือกออกแบบ รู้จักจับแมทซ์ ก็ทำให้ได้ผลงานดีไซน์ชิ้นโบว์แดงในแบบของคุณ หากใครที่ชื่นชอบการออกแฟ(ชั่น)ที่ทันสมัย และต้องศึกษาหาแนวทางเพิ่มเติม สามารถขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการศึกษาต่อด้านสายแฟ(ชั่น) ทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท หลักสูตรระยะสั้น หรือยาว ที่มีให้เลือกท่องโลกของสายแฟชั่นมากมาย มองหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติมได้ที่ https://dp-education.com/ แล้วคุณจะเป็นนักออกแบบที่เก่ง มิกซ์แอนด์แมทซ์ผสมผสานผลงานได้หลายกหลายสไตล์ และเข้าได้ทุกยุคสมัยอย่างแน่นอน

บทความนี้จะพาคุณไปค้นพบ 10 เหตุผล ที่การ เรียนต่อต่างประเทศ ในอิตาลีจะเป็นประสบการณ์สุดพิเศษ พาคุณไปสัมผัสวัฒนธรรมแฟชั่นอันล้ำสมัย เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง และเปิดประตูสู่อนาคตที่สดใสในเส้นทางแฟชั่น

ทำไมต้อง เรียนต่อต่างประเทศ ด้านแฟชั่น

1. ดินแดนแห่งแฟชั่น : อิตาลีเปรียบเสมือนศูนย์กลางของแฟชั่นโลก เต็มไปด้วยแบรนด์ดังระดับโลก นักเรียนแฟชั่นจะได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมแฟชั่น เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ และสัมผัสประสบการณ์ในแวดวงแฟชั่นชั้นนำ

2. แหล่งกำเนิดเทรนด์ : อิตาลีเป็นต้นกำเนิดเทรนด์แฟชั่นใหม่ ๆ นักเรียนจะได้สัมผัสเทรนด์ล่าสุด เรียนรู้เทคนิคและแนวทางการออกแบบที่ล้ำสมัย

3. สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง : อิตาลีมีสถาบันสอนแฟชั่นชั้นนำ เช่น Istituto Marangoni, Domus Academy, Polimoda, NABA ฯลฯ หลักสูตรเข้มข้น ทันสมัย สอนโดยผู้เชี่ยวชาญ

4. หลากหลายหลักสูตร : นักเรียนสามารถเลือกเรียนหลักสูตรแฟชั่นที่หลากหลาย เช่น การออกแบบเสื้อผ้า การตัดเย็บ แพทเทิร์น การวาดภาพแฟชั่น การออกแบบเครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า ฯลฯ

5. โอกาสฝึกงาน : นักเรียนมีโอกาสฝึกงานกับแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ เรียนรู้ประสบการณ์การทำงานจริงในวงการแฟชั่น

6. พัฒนาทักษะภาษา : การเรียนต่างประเทศ ช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอิตาลี ภาษาที่ใช้ในวงการแฟชั่น

7. ประสบการณ์ที่หลากหลาย : นักเรียนได้เปิดโลกทัศน์ เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ ๆ พบเจอผู้คนจากหลากหลายประเทศ

8. พัฒนาความเป็นมืออาชีพ : นักเรียนพัฒนาทักษะการทำงาน การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม และทักษะการสื่อสาร

9. โอกาสทางธุรกิจ : อิตาลีเป็นศูนย์กลางธุรกิจแฟชั่น นักเรียนมีโอกาสสร้างคอนเนคชั่น พบปะผู้คนในวงการแฟชั่น เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

10. อนาคตที่สดใส : นักเรียนมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของตลาดงาน มีโอกาสได้ทำงานในบริษัทแฟชั่นชั้นนำ

การเรียนต่อแฟชั่นที่อิตาลี มีข้อดีมากมาย ช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะ ความรู้ ประสบการณ์ และโอกาสทางธุรกิจ มุ่งสู่ความสำเร็จในเส้นทางแฟชั่น

ที่ DP Education เรามีรุ่นพี่ที่เรียนจบด้านแฟชั่นจากอตาลี คอยให้คำแนะนำตั้งแต่การเลือกที่เรียน สาขาที่ชอบ
รวมไปถึง การให้คำแนะนำเรื่องการจัดเตรียมเอกสาร การเตรียมตัวสอบ การเตรียมตัวไปอยู่ต่างประเทศ อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ Line:@dpeducation

เส้นทางสู่ดาวรุ่ง : เลือกเรียนต่อแฟชั่นที่ไหนดี?

สำหรับเหล่า “แฟชั่นิสต้า” ใฝ่ฝัน การได้เรียนต่อด้านแฟชั่นในต่างประเทศ เปรียบเสมือนการก้าวเข้าสู่ประตูสู่โลกแห่งแรงบันดาลใจ เต็มไปด้วยโอกาสและประสบการณ์อันล้ำค่า แต่ละประเทศก็มีเสน่ห์และจุดเด่นที่แตกต่างกันไป

อิตาลี : ดินแดนแห่งแฟชั่นอันแท้จริง

1. มรดกตกทอดอันล้ำค่า :

อิตาลีเปรียบเสมือน “พิพิธภัณฑ์แฟชั่น” ที่มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมและงานฝีมือชั้นสูง

2. ศูนย์กลางแฟชั่นโลก :

เมืองใหญ่ๆ อย่างมิลาน โรม และฟลอเรนซ์ ล้วนเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแฟชั่น เต็มไปด้วยแบรนด์ชั้นนำ ดีไซเนอร์ชื่อดัง และงานแฟชั่นระดับโลก

3. สถาบันการศึกษาชั้นนำ :

อิตาลีมีสถาบันการสอนแฟชั่นที่โด่งดังระดับโลก ซึ่งทาง DP Education แนะนำ ดังนี้ 

ISTITUTO MARANGONI

Domus Academy

NABA

4. โอกาสฝึกงานกับแบรนด์ดัง:

การเรียนต่อแฟชั่นที่อิตาลี เปิดโอกาสสู่การฝึกงานกับแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ

5. แรงบันดาลใจจากทุกมุม:

เมืองโบราณ สถาปัตยกรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม ล้วนเป็นแหล่งแรงบันดาลใจชั้นเยี่ยม

เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ:

สธน ตันตราภรณ์ : อดีต Managing Editor Vogue Thailand เล่าว่า “การเรียนต่อที่ Istituto Marangoni ทำให้ได้เห็นการสร้างแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการจะขายสินค้าในยุคปัจุบันและอนาคต”

ดวง วรรณพร โปษยานนท์ : อดีต บรรณาธิการบริหารนิตยสารแฟชั่น Harper’s BAZAAR ประเทศไทย เสริมว่า “การไปเรียนและใช้ชีวิตที่มิลาน ทำให้ได้เรียนกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในวงการแฟชั่นอย่างแท้จริง เพราะมิลานเป็นศูนย์กลางและแหล่งต้นกำเนิดของแบรนด์แฟชั่นระดับโลก

อิตาลี เปรียบเสมือนดินแดนแห่งโอกาสสำหรับผู้ใฝ่ฝันในสายงานแฟชั่น เต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม แรงบันดาลใจ และโอกาสในการฝึกฝนกับแบรนด์ชั้นนำ

แหล่งข้อมูล:

Istituto Marangoni: https://www.istitutomarangoni.com/en

Accademia Italiana della Moda: https://www.accademiaitaliana.com/

Vogue Italia: https://www.instagram.com/vogueitalia/?hl=en

Fashion Week Milano: https://www.cameramoda.it/en/