#DP Blog

ประเทศอิตาลี เป็นประเทศที่มีความสวยความงามของศิลปะ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน  นอกจากจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากจะไปท่องเที่ยวแล้ว ก็ยังเป็นประเทศที่ใครหลายคนอยากไปเรียนต่อ เพราะมีมาตรฐานทางการศึกษาที่ดีอย่างมากในระดับต้นๆ โดยประเทศอิตาลีนั้นมีหลากหลายคณะที่น่าสนใจและได้รับความนิยม วันนี้เราจึงได้คัดเลือกคณะที่ได้รับความนิยมสำหรับคนที่ไป เรียนต่ออิตาลี มาฝากให้ได้เลือกกัน ผ่านเรื่อง เปิดโพย คณะยอดนิยม จะมีคณะอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้น เราไปดูพร้อมกันต่อได้เลย 

เปิดโพย คณะยอดนิยม สำหรับคน เรียนต่ออิตาลี 

1. คณะแพทยศาสตร์ 

มาถึงคณะแรกที่ได้รับความนิยมนั่นคือ คณะแพทยศาสตร์ ซึ่งที่ประเทศอิตาลีได้เปิดหลักสูตรที่เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อรองรับนักเรียนทั่วโลก และเปิดโอกาสให้ทุกคนที่สนใจเข้ามาเรียนได้ การเรียนคณะนี้ในประเทศอิตาลีนั้นมีข้อดีในเรื่องของคุณภาพการศึกษาที่ดี ได้ดีกรียุโรปที่เมื่อจบการศึกษาแล้ว สามารถทำงานได้ในทุกประเทศในทวีปยุโรป มีค่าใช้จ่ายในการเรียนที่น้อยกว่าประเทศอื่น และมีทุนการศึกษารองรับ 

2. คณะสถาปัตยกรรม 

ประเทศอิตาลี เป็นประเทศที่มีศิลปะ และสถาปัตยกรรมที่สวยงามอย่างมากของโลก มีโครงสร้างประวัติศาสตร์มายาวนาน นับพันปี เช่น Colosseum, Forum หรือโบสถ์ต่างๆ อีกหลายแห่ง เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เรียนรู้จากสถาปัตยกรรมที่ยอดเยี่ยมสุดตลอดกาลของโลก 

3. คณะแฟชั่นและการออกแบบ 

มาถึงคณะสุดท้ายที่อยากแนะนำ คือ คณะแฟชั่นและการออกแบบนั่นเอง เมื่อพูดถึงประเทศอิตาลีแล้ว จะไม่คิดถึงในเรื่องของแฟชั่น ความสวยงาม ก็ไม่ได้แน่นอน เพราะเป็นแหล่งผลิตแบรนด์แฟชั่น และรวบรวมเอาไว้มากมาย ซึ่งถ้าได้มาเรียนนั้น รับรองถึงการเติบโตได้จากสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย สามารถสร้างคอนเนคชั่นที่ดีได้ ได้ลงมือทำงานจริงกับแบรนด์ชั้นนำที่มีประสบการณ์ในวงการแฟชั่นมาอย่างยาวนาน และที่สำคัญมีทุนการศึกษารองรับให้กับนักเรียนจากทั่วโลก ยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยในประเทศอิตาลีที่เปิดสอนคณะแฟชั่นและการออกแบบ Istituto Marangoni ซึ่งเป็นสถาบันแฟชั่นเก่าแก่จากอิตาลี, Domus Academy และ NABA เป็นต้น 

อยากเรียนต่อคณะทางด้านแฟชั่นและการออกแบบ เลือกเรียนสถาบันไหนดี?

• Istituto Marangoni สถาบันที่มีการเรียนการสอนด้านการออกแบบ และแฟชั่นที่เก่าแก่ของโลก มีวิทยาเขตที่ตั้งอยู่ตามเมืองแฟชั่นดังๆ ทั่วโลก มีหลักสูตรที่สอนในเรื่องของแฟชั่นที่เน้นการลงมือทำจริง ได้ฝึกฝนทักษะทางด้านแฟชั่นเฉพาะทาง และนอกจากนี้ใครที่อยากได้ทุนเรียนต่อ ทาง Istituto Marangoni สนับสนุนนักศึกษาที่มีความสามารถ และสนใจศึกษาต่อกับทางสถาบัน โดยการจัดประกวดชิงทุนการศึกษาในทุกหลักสูตร ซึ่งเป็นส่วนลดค่าเล่าเรียนมากถึง 50 % และ 5,000 Eur

• Domus Academy สถาบันที่เปิดสอนการออกแบบ และแฟชั่นในระดับปริญญาโทชั้นนำของโลก ที่มีรางวัลการันตรีของสถาบัน โดดเด่นในด้านการออกแบบเชิงนวัตกรรม เน้นการทำงานและการเรียนทฤษฎีขั้นสูง นอกจากนี้ที่นี่ยังมีการประกวดชิงทุนใหญ่ ในทุกหลักสูตรปริญญาโท เรียน 1 ปี อีกด้วย

• NABA สถาบันสอนด้านแฟชั่น และการออกแบบที่มีวิทยาเขตในเมืองศิลปะโลก มีหลากหลายสาขา และเป็นการเรียนที่ผสมผสานกันระหว่างการเรียนทฤษฎีและการปฏิบัติจริง โดยที่ NABA มีทุนเรียนต่อ ให้ประกวดชิงทุนเป็นส่วนลดค่าเรียนถึง 50 % เลย 

หากใครที่สนใจทั้ง 3 สถาบันที่เรานำมาแนะนำ และต้องการทุนเรียนต่อ แต่ยังไม่รู้รายละเอียดในการลงประกวดชิงทุน หรือรายละเอียดว่ามีทุนอะไรบ้าง หลักสูตรอะไรบ้าง ที่ dp-education เรามีรวบรวมทุกทุนการศึกษาของทั้ง 3 สถาบันเอาไว้ให้แล้ว สามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่เลย https://dp-education.com/scholarship/

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับข้อมูลดีๆ ที่เรานำมาฝากในเรื่อง เปิดโพย คณะยอดนิยม สำหรับคนเรียนต่อนั้นจะช่วยเปิดโลกและเปิดประสบการณ์ให้กับเราอย่างมาก ได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญจริงระดับโลก โดยเฉพาะการเรียนต่อทางด้านแฟชั่นและการออกแบบ เพราะเป็นประเทศชั้นนำในเรื่องของแฟชั่น และมีสถาบันรองรับที่ดีที่สุด มีคุณภาพ หากใครที่สนใจอยากเรียนต่ออิตาลีทั้ง 3 สถาบัน อยากได้รับคำแนะแนว หรือคำปรึกษาทั้งในเรื่องของการเตรียมตัว และทุนเรียนต่อ

ประเทศอิตาลี หนึ่งในประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรปที่ใครได้ไปก็ต่างตกหลุมรัก เพราะมีกลิ่นอายของศิลปะและวัฒนธรรมที่สวยงาม ที่สร้างความโรแมนติก สร้างความสุขให้กับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมาก สภาพแวดล้อมรายล้อมไปด้วยเทือกเขา และทะเลที่มีความสวยงาม สมบูรณ์ตามแบบของธรรมชาติ ด้วยบรรยากาศที่ดีของ ประเทศ อิตาลี นี้ ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ หากได้ไปรับรองจะประทับใจอย่างแน่นอน วันนี้เราจึงนำเมืองน่าไปมาฝากกันในเรื่อง 3 เมืองน่าไป ในประเทศ อิตาลี หากใครต้องการที่จะไปพิสูจน์ความสวยงามนี้ก็ไปติดตามต่อจากนี้พร้อมกันได้เลย รับรองว่าคุณจะตกหลุมรักแน่นอน

แนะนำเมืองน่าไป ในประเทศ อิตาลี

เมืองที่ 1 : ฟลอเรนซ์ (Florence)

มาเริ่มกันที่เมืองแรกที่เราอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ไปท่องเที่ยวชมความสวยความงามของเมืองนี้กัน นั่นก็คือ เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) เมืองหลวงเก่าของประเทศอิตาลี เป็นหัวใจสำคัญของแคว้นทัสคานี ที่เหมาะสำหรับการไปพักผ่อนหย่อนใจ เพราะมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม และบรรยากาศที่ดี มีแม่น้ำอาร์โน (Arno) ที่ไหลผ่านกลางเมือง และมีสะพานเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14  อย่างเช่น สะพานเวคคิโอ (Ponte Vecchio) ที่เชื่อมระหว่างสองฝั่งของเมืองเข้าด้วยกัน ที่สามารถมาเดินช้อปปิ้ง เดินเล่นชมบรรยากาศ ชมวิวที่สวยงาม และชมพระอาทิย์ตกดินได้ และนอกจากนี้ที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลี ยังมีศิลปะคลาสสิคยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่งดงาม ทั้งภาพวาดและสถาปัตยกรรม อย่างเช่น มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Cathedral of Santa Maria del Flore), วังปาลาซโซเวคคิโอ (Palazzo Vecchio), รูปปั้นของ David, ผลงานชิ้นเอกของไมเคิลแองเจโลและเลโอนาร์โด ดา วินชี และมีพิพิธภัณฑ์แสดงผลงานศิลปะที่โด่งดังอย่างเช่น หอศิลป์อุฟฟีซี (The Uffizi Gallery) เหมาะสำหรับใครที่ชื่นชอบในงานศิลปะและความสวยงามต้องห้ามพลาดเมืองนี้เลย 

เมืองที่ 2 : เวนิส (Venice)

อีกหนึ่งเมืองมรดกโลกที่โด่งดังและเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวก็คือ เวนิส (Venice) เป็นเมืองที่สร้างขึ้นบนทะเลสาบ มีเกาะถึง 118 เกาะ และมีสะพานเชื่อมหากัน การเดินทางเน้นไปที่การใช้เรือ ใช้จักรยานและการเดินเท้า จึงเป็นเมืองที่มีอากาศที่บริสุทธิ์ โดยที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมให้ทำมากมายอย่างเช่น การล่องเรือชมความงามจากบริเวณแกรนด์คาแนล, การล่องเรือกอนโดลา (Gondola), การเดินท่องเที่ยวลัดเลาะตามครอกซอกซอยเมืองเก่าที่สวยงามต่างๆ ที่มี พระราชวังดอจ หรือ ปาลัซโซ่ดูคาเล (Palazzo Ducale) พระราชวังเก่าแก่ที่เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามทั้งภายในและภายนอกของพระราชวัง, จัตุรัสซานมาร์โก (Piazza San Macro) จตุรัสใหญ่ใจกลางเมืองเวนิส เป็นต้น เรียกได้ว่าหากใครได้ไปท่องเที่ยวที่เมืองนี้นั้นคุณจะตกหลุงรักและประทับใจในความสวยงามและความโรแมนติกอย่างแน่นอน 

เมืองที่ 3 : โรม (Rome)

เมืองน่าไปที่เราอยากแนะนำแห่งสุดท้ายที่พลาดไม่ได้เมื่อไปประเทศอิตาลีก็คือ โรม (Rome) นั่นเอง เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลี เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบในเรื่องของศิลปะ วัฒนธรรม และความเก่าแก่ เพราะที่นี่นั้นมีประวัติศาสตร์ความเป็นมามาอย่างยาวนาน มีโบราณสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์หลายแห่ง อีกทั้งบ้านเมืองยังมีความคลาสสิค สถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำให้ได้ไปสัมผัส อาทิเช่น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่าง โคลอสเซียม (Colosseum), เทวสถานศักดิ์สิทธิ์อย่าง วิหารแพนธีอัน (Pantheon), น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain) และหากใครชื่นชอบงานศิลปะหลากหลายยุคสมัยต้องที่ พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museums) นอกจากนี้ที่โรมยังมีร้านค้า ตลาดท้องถิ่น และแหล่งช้อปปิ้งให้ได้เดินเลือกซื้อของฝากเพิ่มเติมอีกด้วย

จบไปแล้วนะคะกับเมืองที่เราอยากแนะนำให้ไปท่องเที่ยวกันผ่านเรื่อง 3 เมืองน่าไป ในประเทศ อิตาลี หากได้ไปรับรองว่าจะประทับใจในบรรยากาศและความงามของประเทศนี้แน่นอน และนอกจากเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องของศิลปะแล้ว ที่นี่ยังมีสถาบันที่โดดเด่นในด้านแฟชั่นและการออกแบบ เปิดสอนให้กับนักเรียนทั่วโลก อาทิเช่น สถาบัน Istituto Marangoni, NABA และ Domus Academy หากใครสนใจอยากเรียนต่อทางด้านแฟชั่นและการออกแบบในอิตาลี กำลังเตรียมตัวแต่ต้องการคำแนะนำ ก็สามารถปรึกษาและสอบถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมกับพี่ๆ DP-Education

การ เรียนต่อ ต่างประเทศ อาจจะเป็นอีกความใฝ่ฝันหนึ่งของใครหลายคน การเรียนซัมเมอร์ในช่วงปิดเทอม หรือการไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อเรียนภาษา ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดีเป็นอย่างมาก และยังมีข้อดีที่หลากหลาย ทำให้อัตราของนักเรียนที่สนใจไปเรียนต่อต่างประเทศนั้นมีอัตราเพิ่มขึ้นมากในทุกปี หากใครที่ยังไม่รู้ว่าจะไปเรียนต่อต่างประเทศทำไม มีข้อดีอย่างไร วันนี้เรานำ 5 เหตุผล ทำไมต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ มาฝากกัน จะมีเหตุผลอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้นเราไปดูพร้อมกันต่อจากนี้ได้เลย 

ทำไมต้องไป เรียนต่อ ต่างประเทศ

1. สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ของต่างประเทศ ทำให้เราได้เห็นมุมมองที่หลากหลาย มีวัฒนธรรมที่แตกต่าง พบเจอสิ่งใหม่ๆ ให้เราได้ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งวัฒนธรรมขนบธรรมเนียม ประเพณี บรรยากาศ และการเป็นอยู่ หรือการใช้ชีวิต เป็นต้น ซึ่งจะสร้างโอกาสให้กับเราในการสำรวจมุมมองใหม่ๆ เปิดกว้างทางความคิด และเข้าใจความแตกต่างของวัฒนธรรมในแต่ละประเทศ และสามารถที่จะนำวัฒนธรรมที่ดีเหล่านั้นมาปรับใช้ในประเทศของเราเองได้

2. ท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์และรู้จักโลกมากยิ่งขึ้น ทำให้เราสามารถเรียนรู้จากการไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจของประเทศนั้นและประเทศใกล้เคียงได้มาก ทำให้เราได้สัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่างกันกับประเทศของเรา ซึ่งช่วยเพิ่มการเรียนรู้ ทำให้เรามองโลกกว้างมากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มความอดทนและฝึกทักษะในการอยู่คนเดียวได้ดี 

3. พัฒนาและเพิ่มทักษะทางด้านภาษามากยิ่งขึ้น หนึ่งเหตุผลของนักเรียนหลายคนที่อยากไปเรียนต่อในต่างประเทศเพราะต้องการพัฒนาทักษะทางด้านภาษา และจะทำให้เรานั้นพัฒนาขึ้น เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว เพราะได้เรียนในภาษาต่างๆ ได้ฝึกใช้ในชีวิตจริง อีกทั้งภาษานั้นยังมีความสำคัญที่ช่วยเราในการต่อยอดทางการประกอบอาชีพมาขึ้นได้ในอนาคตอีกด้วย

4. เพิ่มโอกาสในการทำงานต่อในอนาคต การที่เรานั้นได้เห็นวัฒนธรรมของต่างประเทศ จะทำให้เรานั้นมีความเข้าใจและมีมุมมองที่แปลกใหม่มากขึ้น นั่นคือสิ่งที่ดีที่จะเป็นประโยชน์และสามารถเพิ่มคุณค่าให้กับเราต่อการทำงานในอนาคต 

5. ศึกษาในรูปแบบที่แตกต่าง ประเทศต่างๆ ก็จะมีการเรียนการสอนและสาขาวิชาที่มีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้เราได้เรียนในวิชาที่ประเทศเราอาจจะไม่มีการเรียนการสอน ซึมซับระบบการศึกษาของต่างประเทศ มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ยิ่งหากเรียนในประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีความโดดเด่นและเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เราสนใจ ก็จะทำให้เราได้รับความรู้และประสบการณ์อย่างมืออาชีพได้เลย 

แนะนำสถาบันเรียนต่อต่างประเทศทางด้านแฟชั่นและการออกแบบ 

• Istituto Marangoni สถาบันที่มีการเรียนการสอนด้านการออกแบบและแฟชั่นที่เก่าแก่ของโลก มีหลากหลายสาขาวิชาให้เลือกเรียนตามความชอบ มีวิทยาเขตที่ตั้งอยู่ในเมืองแฟชั่นที่ครอบคลุมทั่วโลกและที่สำคัญมีเป้าหมายในการถ่ายทอดเทคนิค และให้นักเรียนได้ฝึกฝนเฉพาะทางด้านแฟชั่น เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของตลาดโลกมากที่สุด
• Domus Academy สถาบันสอนออกแบบในระดับปริญญาโทชั้นนำของโลกมีรางวัลด้านการศึกษาการันตรีมากมาย โดดเด่นในด้านการออกแบบเชิงนวัตกรรม มีรูปแบบในการเรียนการสอนที่เฉพาะตัว เน้นการผสมผสานความรู้ทางทฤษฎีขั้นสูงกับการทำงานจริง มีสาขาวิชาหลากหลาย
• NABA สถาบันสอนแฟชั่นและการออกแบบที่ดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกมาอย่างต่อเนื่อง มีการเรียนการสอนในด้านศิลปะและการออกแบบของประเทศอิตาลี มีวิทยาเขตในเมืองศิลปะของโลก มีสาขาวิชาที่ให้เลือกเรียนตามความสนใจที่หลากหลาย โดดเด่นเป็นอย่างมากในสาขาวิชา Fine & Applied Arts เน้นการผสมผสานระหว่างการเรียนในห้องเเบบทฤษฎี และการเรียนในเชิงปฏิบัติ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับเหตุผลดีๆ ที่เรานำมาฝากในเรื่อง 5 เหตุผล ทำไมต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ ข้อดีของการไปเรียนต่อต่างประเทศนั้นยังมีอีกมากมาย ที่จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาทักษะของตัวเราเองได้เป็นอย่างดี และยังช่วยเปิดประสบการณ์ให้กับเรามากมาย หากใครที่สนใจอยากเรียนต่อที่ต่างประเทศทางด้านแฟชั่นและการออกแบบ สนใจทั้งสถาบัน Istituto Marangoni, Domus Academy และ NABA กำลังเตรียมตัวแต่ยังมีข้อมูลไม่มากพอหรือยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง สามารถสอบถามกับทางพี่ๆ DP-Education ได้นะคะ

ทวีปยุโรปนั้นเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ใครหลายคนใฝ่ฝันและหมายปองอยากมาท่องเที่ยวให้ได้สักครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะประเทศ อิตาลี ที่ได้รับความนิยมเพราะเป็นประเทศที่มีความงดงามทั้งทางด้านของศิลปะและวัฒนธรรม และหนึ่งในเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของแฟชั่นระดับโลก เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของศิลปะ ซึ่งก็คือเมือง มิลาน อิตาลีนั่นเอง หากใครที่อยากจะไปท่องเที่ยว แต่ยังไม่มีแพลนว่าจะไปที่ไหนดี วันนี้เราจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ ที่คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์อย่างแท้จริง จะมีที่ไหนน่าสนใจบ้างนั้นเราไปลองดูพร้อมกันได้เลย 

สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำในสำหรับสายแฟชั่น

แห่งที่ 1 : ย่านศิลปะ Brera district

ย่านเบร์รานั้น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางเมือง ที่นี่นั้นมีความโดดเด่นในเรื่องของการเป็นจุดศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมืองและมีสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่โบราณในสมัยศตวรรษที่ 18 ที่มีสีเหลืองทำให้เพิ่มความน่าสนใจและจุดดึงดูดให้กับนักท่องเที่ยวได้มากเลยทีดียว โดยที่ย่านนี้นั้นขึ้นชื่อในเรื่องของด้านศิลปะและแฟชั่น มีทั้งผลงานทางศิลปะและแกลเลอรีศิลปะมากมายให้ได้เลือกเดินชมกัน และนอกจากนี้ที่นี่ยังมีสองข้างทางที่มีร้านค้าสไตล์บูติกขายสินค้าแฮนด์เมดท้องถิ่น เพื่อให้เรานั้นเลือกซื้อและจับจองเป็นของที่ระลึกได้ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องไป

แห่งที่ 2 : มหาวิหารมิลาน (Milan Cathedral)

ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นสถานที่ที่ใครได้มาประเทศอิตาลีต้องห้ามพลาด โดยที่นี่มีความโดดเด่นในเรื่องขึ้นชื่อว่าเป็นศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี มีสถาปัตยกรรมในสไตล์บาโรก โมเสก ภายในมีศิลปะที่สวยงาม น่าค้นหา ที่สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ของศิลปะและแฟชั่นให้กับเราได้เป็นอย่างดี มีสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะคล้ายกับเม่นทำให้บางคนนั้นเรียกว่า วิหารเม่น และนอกจากนี้ก็ยังมีการนำกระจกสีมาตกแต่งภายใน ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะวิหาร Milan Cathedral สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักบุญแมรี่ และเป็นที่ประทับของอาร์คบิชอปแห่งเมืองอีกด้วย

แห่งที่ 3 : Galleria Vittorio Emanuele II

มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวแห่งกันแล้ว สำหรับใครที่ชื่นชอบในแฟชั่นและรักในการช้อปปิ้งต้องมาเที่ยวที่ Galleria Vittorio Emanuele II เลย ที่นี่เป็นศูนย์การค้าที่มีความเก่าแก่ที่สุดของอิตาลี มีความเป็นเอกลักษณ์และโดดเด่นด้วยหลังคาแก้วสวยงาม พร้อมกับไฮไลท์ของห้างนี้นั่นก็คือ งานโมเสกสี่ชิ้นที่อยู่บนพื้นเป็นรูปตราสัญลักษณ์ของเมืองหลวงทั้ง 3 แห่งของประเทศอิตาลีประกอบไปด้วยเมือง โรม ฟลอเรนซ์ และตูริน ซึ่งภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มีร้านค้าต่างๆ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ แบรนด์เนมต่างๆ มากมาย ทั้ง Gucci, Chanel, Prada, และ Louis Vuitton เป็นต้น และยังมีทั้งของฝาก ของที่ระลึกให้ได้เลือกช้อปติดไม้ติดมือกลับบ้านกันไปด้วย นอกจากมีสินค้าต่างๆ ให้ได้เลือกซื้อแล้ว ที่นี่ก็มีร้านอาหารสุดหรู พร้อมบรรยากาศดีๆ มีความโรแมนติก มีทัศนียภาพอันงดงาม และสถานที่สำคัญให้เราได้ขึ้นไปชมในชั้นบนของห้างแห่งนี้ด้วย

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแล้วนั้น ที่นี่ยังมีสถาบันสอนในด้านแฟชั่นและการออกแบบที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นั่นก็คือที่ Istituto Marangoni จุดเด่นของที่นี่คือมีการเรียนการสอนที่เน้นการทำงานจริงร่วมกับแบรนด์ชั้นนำด้านแฟชั่นของโลก ได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรง และเรียนรู้จากประเทศที่เป็นศูนย์กลางของทางด้านแฟชั่น อีกทั้งยังมีหลากหลายสาขาให้ได้เลือกเรียนอีกมากมาย หากสนใจที่อยากศึกษาต่อต่างประเทศทางด้านแฟชั่นและการออกแบบ ต้องการคำแนะนำในการเตรียมตัว ก็สามารถสอบถามหรือปรึกษากับ DP Education

ประเทศที่เป็นศูนย์รวมของมิวเซี่ยม หรือพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงในอันดับต้นๆ ของโลกเอาไว้ หนึ่งในนั้นก็คงหนีไม่พ้นประเทศอังกฤษอย่างแน่นอน เพราะประเทศอังกฤษนั้น เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ได้รวบรวมสถานที่แห่งศิลปะ ประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมที่สวยงามเอาไว้มากมาย หนึ่งในเมืองที่มีทั้งสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิคและเป็นลิสต์ที่ใครมาเที่ยวประเทศอังกฤษต้องได้มาเมืองนี้ให้ได้ก็คือ London นั่นเอง ที่เมืองนี้นั้นมี London Museum หลากหลายแห่ง วันนี้เราจึงจะพาทุกคนได้ไปท่องเที่ยว และทำความรู้จักกับMuseum in London กันให้มากยิ่งขึ้นผ่านในเรื่องแนะนำ 3 มิวเซี่ยม ใน London ที่สายอาร์ตต้องไป จะมีที่ไหนน่าสนใจกันบ้างนั้นเราลองไปติดตามกันต่อพร้อมกันได้เลย 

แนะนำ 3 มิวเซี่ยม ใน London

London Museum แห่งที่ 1 : V&A Museum หรือ Victoria and Albert Museum 

มากันที่แห่งแรกในเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษที่เรานำมาแนะนำให้กับทุกคนกัน นั่นก็คือที่ V&A Museum หรือ Victoria and Albert Museum ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองลอนดอน เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับด้านการออกแบบ และมัณฑนศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการรวบรวมชิ้นงานศิลปะและโบราณวัตถุเอาไว้มากกว่า 6 ล้านชิ้น และผลงานทุกชิ้นมีการบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติจากในหลากหลายยุคสมัย มีหลากหลายโซนตามวัฒนธรรมต่างๆ ให้ได้เลือกชมทั้ง ยุโรป ตะวันออกกลาง จีน อเมริกา ญี่ปุ่น แอฟริกา หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น ซึ่งเป็นนิทรรศการต่างๆ ที่หมุนเวียนจัดแสดงให้ได้ชมกัน นอกจากนี้สำหรับสายอาร์ตและแฟชั่นที่นี่นั้นยังมีนิทรรศการแฟชั่นตะวันตกในแต่ละยุคสมัยให้ได้ชม และยังมีทั้งร้านค้าและคาเฟ่ ที่สามารถไปนั่งจิบชา กาแฟได้ตามสบาย พร้อมทั้งยังสามารถซื้อของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับบ้านได้อีกด้วย

London Museum แห่งที่ 2 : British Museum

ต่อกันที่แห่งที่ 2  คือ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ พิพิธภัณฑ์ทีใหญ่ที่สุดในโลก หรือ British Museum ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1753 และเปิดให้เข้าชมในปี ค.ศ. 1759   ภายในมีกาจัดแสดงทั้งโบราณวัตถุและงานศิลปะที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ธรรมชาติของมนุษย์ ศิลปะและวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในโลกเอาไว้มากกว่าหนึ่งแสนชิ้น ซึ่งเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ดีที่สุดอีกแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ มีผลงานของศิลปินและนักเขียนในช่วงศตวรรษที่ 19 และ 20 อาทิเช่น Pablo Picasso เป็นต้น ทำให้ใครก็หมายปองใฝ่ฝันอยากไปที่นี่ เพราะที่นี่เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์แนวหน้าของโลกอีกหนึ่งแห่งเลย 

London Museum แห่งที่ 3 : The National Portrait Gallery

แห่งสุดท้ายที่เราอยากจะแนะนำให้กับทุกคนนั่นก็คือที่หอศิลป์ภาพเหมือนแห่งชาติ หรือ The National Portrait Gallery ที่ภายในมีการจัดแสดงภาพ Portrait ของบุคคลที่มีชื่อเสียงของประเทศอังกฤษ มีการจัดแสดงนิทรรศการที่หมุนเวียนกันให้ได้เข้าชม อาทิเช่น การประกวดภาพวาด การประกวดงานศิลปะระดับโลก เป็นต้น และยังมีภาพวาดที่ได้รับความนิยมในแต่ละยุคสมัย เพื่อที่เรานั้นสามารถเรียนการเปลี่ยนแปลงของศิลปะในแต่ละยุคสมัย บอกเลยว่าที่นี่จะทำให้เราได้สัมผัสงานศิลปะระดับโลกได้อย่างใกล้ชิดอย่างแน่นอน 

หากใครที่มีความสนใจในการเรียนต่อทางด้านแฟชั่น ศิลปะและการออกแบบในต่างประเทศ เรามีสถาบันมาแนะนำที่มีวิทยาเขตในเมืองลอนดอน เมืองที่มีผลงานศิลปะมากมาย นั่นก็คือที่ Istituto Marangoni โดยสถาบันนี้จะเน้นในการปฏิบัติจริงร่วมกับบริษัทที่มีชื่อเสียงในด้านแฟชั่น ศิลปะและการออกแบบหลากหลายแห่ง ทำให้เราได้รับประสบการณ์จริงที่หาได้ยาก มีสาขาวิชาที่ครอบคลุมทุกความต้องการ และยังได้เรียนรู้กับประเทศศูนย์กลางทางด้านแฟชั่นของโลกอีกด้วย หากใครต้องการที่ปรึกษาเพื่อรับคำแนะนำในการเตรียมตัวเพิ่มเติม ก็สามารถสอบถามหรือปรึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้

วงการแฟชั่นในปัจจุบันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความนิยมอย่างรวดเร็ว การแต่งตัวนั้นก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บ่งบอกบุคลิกภาพของเราได้เป็นอย่างดี ยิ่งหากเราเข้าใจเทรนด์และยุคสมัย รวมถึงความเป็นตัวของเราเอง ก็จะทำให้เราสามารถเลือกออกแบบเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับเราได้มาก ส่งผลให้ในสมัยนี้ความสวยความงามในด้านของการแต่งตัวและเสื้อผ้า กำลังได้รับความนิยมสูง หลายคนหันมาสนใจในการเรียนเรื่องของการออกแบบและแฟชั่นเพิ่มมากยิ่งขึ้น หลักสูตรที่มีการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องนั้นก็คงหนีไม่พ้นหลักสูตร Fashion Stylist นั่นเอง วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับหลักสูตรนี้กันให้มากยิ่งขึ้น หลักสูตรสุดปัง ของคนชอบแต่งตัว จะเป็นอย่างไรนั้นไปดูกันได้เลย 

Fashion Stylist คืออะไร?

ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของแฟชั่นและการแต่งกาย สามารถนำศิลปะและการออกแบบมาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการเนรมิตรเสื้อผ้าสร้างลุคให้กับผู้คนได้อย่างสวยงาม มีกาลเทศะที่เหมาะสม เข้ากับภาพลักษณ์หรือธีมของงานต่างๆ และสร้างความประทับใจให้กับผู้สวมใส่ได้ เป็นอีกหนึ่งในอาชีพที่มีความสำคัญกับวงการแฟชั่นและวงการบันเทิงอย่างมาก เพราะต้องเป็น Stylist ที่คอยให้คำปรึกษาในเรื่องของการแต่งกายให้กับเหล่าดารา ศิลปินและเซเลบริตี้ทั้งหลาย

ต้องทำอะไรบ้าง?

1. ออกแบบลุคให้ตรงกับธีมหรือคอนเซ็ปต์ การเป็น Stylist นั้นจะต้องสามารถออกแบบลุคให้ตรงกับความต้องการและองค์ประกอบได้อย่างเหมาะสมทั้งในด้านเสื้อผ้า รองเท้าและเครื่องประดับ และยังต้องเหมาะสมกับลุคของบุคคลนั้น และต้องมีการตามเทรนด์แฟชั่น มีความหลากหลายควบคู่ไปด้วย 
2. จัดการดูแลทั้งเสื้อผ้า รองเท้าและเครื่องประดับ อุปกรณ์ทุกชิ้นที่ต้องใช้ในการทำงาน ให้มีสภาพที่ดูดี พร้อมใช้งาน 
3. ติดตามเทรนด์แฟชั่นและวิเคราะห์เทรนด์ต่างๆ ได้ละเอียด การเป็น Stylist ที่ดีนั้นจะต้องติดตามเทรนด์แฟชั่นสม่ำเสมอ ห้ามตกเทรนด์ ติดตามแนวโน้มและสามารถวิเคราะห์เทรนด์ได้ เพื่อที่จะเข้าใจและสามารถออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่สวยงาม ทันสมัยได้
4. เป็นที่ปรึกษาในเรื่องของแฟชั่นได้ดี ทั้งให้คำแนะนำในเรื่องของเสื้อผ้าและการแต่งกาย การประยุกต์เสื้อผ้าให้เหมาะสมกัน การใช้คู่สีที่เหมาะสม ซึ่งเข้ากับเอกลักษณ์ของแบรนด์และความต้องการได้ดี
5. ทำงานร่วมกับฝ่ายสร้างสรรค์ได้ เพื่อสร้างลุคที่ดูดีที่สุดออกมา และสร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์นั้นได้อย่างลงตัว ได้ลุคที่สมบูรณ์แบบ และผลงานออกมาดีที่สุด

มีการเรียนในเรื่องอะไรบ้าง?

มีการเรียนการสอนในเรื่องการจัดแต่งองค์ประกอบของเสื้อผ้าและการแต่งกายให้เหมาะสมกัน มีความสวยงาม ดูดีและน่าประทับใจ เรียนรู้และทำความเข้าใจในเรื่องของศิลปะ แฟชั่นและการออกแบบ ประวัติความเป็นมาของแฟชั่นและเทรนด์การแต่งกายที่ได้รับความนิยมในแต่ละช่วงเวลา โดยการเรียนเป็น Stylist นั้นจะเน้นไปที่การทำความรู้จักกับโครงสร้างของเสื้อผ้าหรือชุดในแบบต่างๆ คู่สีที่เหมาะสม อารมณ์และความรู้สึกผ่านสี สามารถทำการวิเคราะห์ส่วนประกอบของการแต่งกายได้ดี จนสร้างเป็นพื้นฐานให้กับเราจนเราสามารถทำการออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องแต่งการที่สอดคล้องกับเรื่องราว และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว ผสมผสานจนกลายเป็นสไตล์ของเราเอง และต่อยอดได้ในอนาคต

สามารถทำงานอะไรได้บ้าง 

• Stylist ผู้ออกแบบแฟชั่นและการแต่งกาย
• Costume Designer ผู้ออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย
• ที่ปรึกษาด้านแฟชั่นแอนิเมชั่น
• ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสร้างสรรค์
• ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์/การออกแบบสร้างสรรค์
• Fashion Photographer ช่างภาพฝ่ายแฟชั่น
• ที่ปรึกษาด้านการเล่าเรื่อง
• เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า
• Fashion Journalist Stylist
  

จบไปแล้วนะคะกับเกร็ดความรู้ดีๆ หลักสูตรสุดปัง ของคนชอบแต่งตัว Stylist นั้นไม่ได้เพียงแต่ทำการประยุกต์เสื้อผ้าเข้ากันเท่านั้น ยังต้องเป็นผู้ที่นำเสนอสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์และตอบโจทย์ความต้องการให้ได้ดีที่สุด สามารถทำงานที่มีความหลากหลายและมีประสิทธิภาพ หากใครที่มีความสนใจในสายอาชีพนี้และต้องการเรียนต่อต่างประเทศ แต่ไม่รู้ว่ามีสาขาไหน หลักสูตรไรที่น่าสนใจบ้าง ก็สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรับคำแนะนำการเรียนต่อต่างประเทศได้ที่ DP Education แล้วคุณจะเป็นสไตล์ลิสคนใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ได้แน่นอน

การเลือกการแต่งกายและสไตล์ของเสื้อผ้านั้นมีหลากหลายแนวให้เราได้เลือกตามความชอบของบุคลิกเราและความเหมาะสมตามกาลเทศะของงานต่างๆ เชื่อว่าหนึ่งในความฝันของใครหลายคนที่มีความชื่นชอบในเรื่องของแฟชั่นและการออกแบบ ก็คือการได้เนรมิตรเครื่องแต่งกายของเราให้ออกมาตรงตามความต้องการและความชอบ ได้ทำงานอยู่ท่ามกลางความสวยความงามของเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ การ เรียนออกแบบเสื้อ ผ้าถือว่าเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ความชื่นชอบนั้นได้เป็นอย่างดี และถ้าเราอยากออกแบบเสื้อผ้าจะเรียนคณะไหน ที่สถาบันไหนดี วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้น เปิดคณะที่สายแฟต้องรู้จัก จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นเราไปลองดูพร้อมกันได้เลย 

อยากเรียนออกแบบเสื้อผ้าต้องเรียนอะไรบ้าง? 

1.เรียนประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแฟชั่น รวมถึงเทรนด์เสื้อผ้าและความนิยมในแต่ละยุคสมัยตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อที่เราจะสามารถวิเคราะห์ ทำความเข้าใจเทรนด์ต่างๆ ได้ และนำมาต่อยอด ประยุกต์ให้กับการออกแบบของเราให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะคน แต่ยังคงความทันสมัยได้มากขึ้น

2.เรียนการวาดรูปและการขึ้นแบบ สิ่งสำคัญที่สุดของการเรียนนั้นเราจะต้องสามารถวาดรูปหรือการใช้โปรแกรมเพื่อสเก็ตช์ภาพทั้งภาพคน มือ เท้า ร่างกายการวาดภาพหุ่นต่างๆ ตามลักษณะทางกายภาพ รวมไปถึงจะต้องทำความเข้าใจในโครงสร้างของร่างกายและใบหน้าบุคคล เพื่อที่จะสามารถวาด Flat Drawing ส่งให้กับทางร้านที่มีรายละเอียดชัดเจน เข้าใจรายละเอียดของเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายที่เราออกแบบได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

3.เรียนการสร้างคอลเลคชั่น หากเรานั้นต้องการที่จะออกแบบเสื้อผ้าเรานั้นจะต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองและสามารถถ่ายทอดออกมาเพื่อสื่อสารให้กับคนอื่นได้เข้าใจ โดยเรานั้นจะต้องเรียนในเรื่องการสร้างขอบเขตของการออกแบบ เพื่อสร้างเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่มีความหลากหลายและนำมารวบรวมเป็นคอลเลคชั่นของเราเอง จากนั้นทำการถ่ายทอดผ่านทาง Sketchbook ให้กับลูกค้าได้ชมผลงานการออกแบบ

4.เรียนการใช้โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเสื้อผ้า อย่างเช่นโปรแกรม Indesign, Photoshop และ Illustrator เพื่อทำการออกแบบ ลงรายละเอียดและลวดลายของเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่เราออกแบบ

5.เรียนการสร้างแพทเทิร์น เมื่อเราวาดแบบเสื้อผ้าที่เราต้องการแล้ว เราจะต้องทำความเข้าใจแบบทั้งหมดและทำการสร้างเป็นแพทเทิร์น ด้วยการตัดเย็บ ประกอบขึ้นมาเป็นชุดตัวอย่าง

6.เรียนเกี่ยวกับวัสดุที่จะนำมาทำเป็นแบบ ทั้งเนื้อผ้า อุปกรณ์ตกแต่ง เป็นต้น โดยต้องเรียนรู้ตั้งแต่เส้นใยของผ้า คุณสมบัติ การถักทอและการพิมพ์ผ้า เพื่อที่เราจะเลือกวัสดุมาออกแบบได้อย่างเหมาะสม

เรียนคณะไหนดี?

• Fashion Styling  

Istituto Marangoni โยคณะนี้จะเน้นการเรียนการสอนไปที่การเรียนรู้การจัดองค์ประกอบของเครื่องแต่งกาย เรียนรู้ศฺลปะการออกแบบและแฟชั่น ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของวงการแฟชั่น ทำความรู้จักกับโครงสร้างของเสื้อผ้าหรือชุด การจับคู่สี อารมณ์จากสีที่ใช้ ตลอดจนการนำความรู้มาผสมผสานและทำการออกแบบเสื้อผ้าของเราให้มีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์

• Fashion design

Istituto Marangoni ที่มีการเรียนตั้งแต่พื้นฐานของการออกแบบเสื้อผ้า การวาดรูปเพื่อขึ้นแบบ หรือเลือกใช้โปรแกรมในการช่วยขึ้นแบบ เพื่อนมาสร้างเป็นแพทเทิร์น เรียนรู้คุณสมบัติของวัสดุต่างๆที่สามารถนำมาตัดเย็บได้ เรียนรู้การสร้างคอลเลคชั่นของเราเอง และเรียนการตัดเย็บ นำผ้ามาแต่งตัวกับหุ่น ลงมือปฏิบัติจริง นอกจากนี้คณะนี้นั้นยังมีการเรียนการสอนในเรื่องของธุรกิจแฟชั่น เพื่อสามารถสร้างแบรนด์และทำการตลาดให้กับแบรนด์ของเราเอง

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับข้อมูลดีๆ ที่เรานำมาฝากในเรื่องเรียนออกแบบเสื้อผ้า เปิดคณะที่สายแฟต้องรู้จัก สถาบัน Istituto Marangoni เป็นสถาบันทางด้านแฟชั่นและการออกแบบที่โด่งดังอย่างมากในประเทศอิตาลีที่เป็นศูนย์กลางของโลกทางด้านแฟชั่น มีวิทยาเขตที่หลากหลายที่ตั้งอยู่ใจกลางแหล่งแฟชั่นชั้นนำ โดดเด่นในเรื่องเน้นการเรียนการสอนด้วยการลงมือปฏิบัติจริง ทำงานร่วมกับบริษัทแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ ถ้าหากใครสนใจอยากเรียนต่อที่สถาบัน Istituto Marangoni กำลังเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องการสอบเข้าและการเป็นอยู่ ต้องการที่ปรึกษาคอยแนะแนวแนวทางในการเรียนต่อ สามารถติดต่อ DP Education ได้เลย

สายงานทางด้านแฟชั่นในปัจจุบันนั้น มีหลายสาขาให้ได้เลือกตามความชอบ ซึ่งสาขาหนึ่งของงานสายแฟชั่นที่ขาดไม่ได้เลยนั่นคือ การจัดการ การบริหารแฟชั่น และแบรนด์ต่างๆ ให้ออกมามีประสิทธิภาพ Luxury Brand Management เป็นการจัดการและบริหารแบรนด์หรูหรา ในด้านของแฟชั่น การตลาด และธุรกิจ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาขาที่หลายคนให้ความสนใจ แต่หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า Brand Luxury คืออะไร และ Luxury Brand Management มีอะไรน่าสนใจบ้าง เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้นกับ Luxury Brand Management สำหรับคนชอบงานบริหาร และรักในงานแฟชั่น จะเป็นอย่างไรและน่าสนใจแค่ไหนนั้นไปดูพร้อมกันต่อเลย

Brand Luxury คืออะไร?

คือ แบรนด์สินค้าที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดและมีความ Exclusive ให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านของการใช้งาน และการบริการ สินค้าทุกชิ้นที่มีคุณภาพ มีเรื่องราวที่ทรงคุณค่า และน่าค้นหา อีกทั้งยังมีความโดดเด่นในแบรนด์ของตนเองที่ไม่ซ้ำใคร  และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงได้ สิ่งนี้จึงสร้างความแตกต่าง และสามารถสร้างแรงดึงดูให้กับลูกค้าได้มากกว่า สินค้าและบริการอื่นๆ  ซึ่งการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ออกมาดูดี น่าสัมผัส และน่าหลงใหลมีไว้ครอบครอง

Luxury Brand Management คืออะไร? 

การสร้างแบรนด์ การจัดการ  การบริหาร แบรนด์อุตสาหกรรมและแฟชั่นของ Luxury Brand ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และความสมดุล เพราะบทบาทหน้าที่ของผู้จัดการแบรนด์ (Brand Manager) นั้น จะต้องสามารถสร้างแรงดึงดูด แรงจูงใจให้ผู้บริโภค หันมาให้ความสำคัญกับแบรนด์ของเราเพิ่มมากขึ้น สร้างความต้องการ และความไว้วางใจให้กับลูกค้า และยังต้องสามารถสร้างการตลาด การสื่อสาร เพื่อให้ขายสินค้าได้ดี ตอบสนองต่อกลยุทธ์ และวิสัยทัศน์ของแบรนด์

คณะ Luxury Brand Management มีการเรียนการสอนอะไรบ้าง?

การเรียนการสอนมุ่งเน้นให้ผู้เรียนในสาขานี้ได้เรียนรู้ในเรื่องการบริหารจัดการให้เกิดความสมดุล และการใช้ความคิดสร้างสรรค์ โดยจะเรียนไปที่แบรนด์สินค้าพรีเมี่ยม และหรูหราในอุตสาหกรรมแฟชั่น ทำให้สามารถเข้าใจการตลาด วิเคราะห์แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นได้ เรียนรู้ในเรื่อง คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ (คุณภาพ คุณสมบัติ และการออกแบบ) การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และเข้าใจจุดประสงค์ ขอบเขต ความแตกต่างระหว่างภาพลักษณ์ของแบรนด์ และเอกลักษณ์ของแบรนด์ เรียนรู้การสร้างความเป็นเอกลักษณ์ และพัฒนากลยุทธ์ในตลาดสินค้า Luxury เพื่อให้ธุรกิจ สามารถบรรลุเป้าหมายทางด้านธุรกิจ และพัฒนาธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้นไป

โดยนอกจากนี้การเรียนในคณะ Luxury Brand Management ยังช่วยเสริมสร้างทักษะในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้นในด้านการใช้ความคิดสร้างสรรค์ทั้งในเรื่องของแฟชั่น ผลิตภัณฑ์และการตลาด ด้านการวางแผน การวิเคราะห์ข้อมูล การทำงานให้เป็นขั้นตอนและการจัดการ ด้านการสื่อสารทั้งในประเทศและต่างประเทศ การใช้วาทะศิลป์ในการโน้มน้าวใจและทักษะในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หากใครที่มีความสนใจอยากเรียนต่อในคณะนี้ ในสถาบัน Istituto Marangoni

เส้นทางในอาชีพที่สามารถเป็นไปได้

• ผู้จัดการแบรนด์หรู สินค้า Luxury
• ผู้จัดการการขายปลีกสินค้า Luxury
• ผู้จัดการสินค้าแฟชั่นแบบขายปลีก
• ผู้จัดการฝ่ายการขายสินค้า Luxury
• ผู้จัดการฝ่ายการตลาดดิจิทัล
• ผู้ขายสินค้าแบรนด์หรูหรา
• ผู้จัดการฝ่ายการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์
• นักวางกลยุทธ์ทางด้านแบรนด์
• นักวิเคราห์ข้อมูลทางธุรกิจและการตลาด
• ผู้จัดการด้านผลิตภัณฑ์
• ผู้จัดการทางด้านการจัดการประสบการณ์ผู้ใช้บริการ
• ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารในโลกดิจิทัล
• ผู้เชี่ยวชาญทางด้านแบรนด์และที่ปรึกษาด้านการตลาดของอุตสาหกรรมแฟชั่นสินค้า Brand Luxury

จบไปแล้วนะคะ กับข้อมูลที่เรานำมาฝากกันในเรื่อง Luxury Brand Management สำหรับคนชอบบริหาร และรักงานแฟชั่น เรียกได้ว่าคณะนี้นั้นสามารถตอบโจทย์ให้กับผู้ที่มีความชื่นชอบในเรื่องของแฟชั่นและการบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี และการเรียนต่อต่างประเทศนั้นก็จะช่วยเปิดประสบการ์ให้กับเราได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น หากใครที่มีความสนใจอยากเรียนต่อในคณะ Luxury Brand Management ที่สถาบัน Istituto Marangoni กำลังเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมเพื่อเรียนต่อ แต่ยังไม่มีข้อมูลต่างๆ ต้องการการแนะแนวที่ดีและตรงไปตรงมาก็สามารถปรึกษาทีม DpEducation แล้วคุณจะได้เรียนในสายแฟชั่นที่ตรงใจ

ศิลปะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับพวกเรามาตั้งแต่ในสมัยอดีต และมีประวัติศาสตร์ของแต่ละยุคที่วิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ศิลปะนั้นได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น งานศิลปะ เป็นสิ่งที่ช่วยจรรโลงใจ และเพิ่มความผ่อนคลายให้กับเราได้มากขึ้น นอกจากการไปเสพงานศิลปะจะทำให้เราเข้าใจทั้งการสื่อสารอารมณ์ แนวคิดและความเป็นเอกลักษณ์ เป็นตัวตนของเจ้าของผลงาน และตามหาแรงบันดาลใจ ยังสามารถไปถ่ายรูปสวยหรือทำคอนเทนต์ให้กับเราเพื่อลงโซเชียลมีเดียในข่องทางต่างๆ ได้ โดยในประเทศไทยของเรานั้นมี Art gallery ที่น่าสนใจอยู่หลายที่ วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสถานที่เสพงานศิลป์ในไทยผ่านเรื่องแนะนำ 3 สถานที่ จัดงานในไทย จะมีที่ไหนบ้างนั้นเราไปติดตามกันได้เลย 

3 สถานที่ จัดงาน Art gallery ในไทย

1. หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เป็นที่แรกๆ ที่หากต้องการพูดถึงการเดินชมงานศิลปะหรือการจัดแสดงงานอาร์ต งานศิลปะของศิลปินต่างๆ หลายคน และสถานที่ถ่ายรูปเก๋ๆ ของบรรดาวัยรุ่น จะนึกถึงที่นี่เป็นที่แรกเสมอ โดยหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครตั้งอยู่ใจกลางเมืองของกรุงเทพมหานคร บริเวณแยกปทุมวัน ฝั่งตรงข้ามศูนย์การค้า Siam Discovery และ MBK Center ภายในอาคารจัดงานนั้น จะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนใหญ่ๆ ได้แก่บริเวณชั้น 7-9 เป็นพื้นที่ของห้องนิทรรศการหลัก จะใช้สำหรับการจัดแสดงงานศิลปะที่เป็นงานนิทรรศการขนาดใหญ่  และชั้นอื่นลงมาจะเป็นทั้งพื้นที่จะแสดงงานศิลปะ ภาพวาด ห้องสมุด โรงหนังสำหรับการฉายสารคดี หนังสั้น คาเฟ่ ร้านขายผลงานศิลปะ ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายของที่ระลึก และกิจกรรมศิลปะ หากใครที่สนใจอยากเดินชมงาน art gallery แบบเพลินๆ หามุมถ่ายรูปและทำคอนเทนต์ดีๆ ต้องห้ามพลาดที่นี่เลย 

2. พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA) 

แห่งที่ 2 กัน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นขุมทรัพย์ของงานศิลปะร่วมสมัย ก่อตั้งโดย คุณบุญชัย เบญจรงคกุล โดยมีการเก็บรวบรวมงานศิลปะของศิลปินจัดแสดงเอาไว้มากมาย เพื่อเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติ และศิลปินยอดเยี่ยม มีการออกแบบอาคารเป็นลายฉลุ  เพื่อให้มีแสงส่องเข้ามาได้ จึงเกิดเป็นความแตกต่างในฤดูกาลต่างๆ ให้ความรู้สึก อารมณ์แตกต่างกันไป อีกทั้งยังมีหลายชั้นให้ได้เดินชมงานศิลปะ ถ่ายรูป ค้นหาแรงบันดาลใจได้ตลอดทั้งวัน

3. River City 

อยู่แถวย่านเจริญกรุง ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าชมได้ฟรี โดยที่นี่มีงานศิลปะและนิทรรศกาลในหลากหลายแนว ของศิลปินหลากหลายท่าน หมุนเวียนกันมาจัดแสดงอย่างไม่ขาดสาย มีการเชื่อมโยงทั้งศิลปะไทยและศิลปะนานาชาติเข้าไว้ด้วยกัน สามารถมาพบปะกับศิลปินในดวงใจ เข้าร่วมการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านของศิลปะและแฟชั่น เพื่อทำความเข้าใจคุณค่าของงานศิลปะไทยร่วมสมัย ไปจนถึงเข้าร่วมการประมูลงานศิลปะ และนอกจากนี้ที่แกลลอรีแห่งนี้ยังมีทั้งดนตรีและภาพยนตร์ให้ได้ฟังและดูเพลินๆอีกด้วย

อยากเรียนเกี่ยวกับการจัดงานงานศิลปะ นิทรรศการและแฟชั่นเรียนต่อที่ไหนดี?

หากใครที่ได้ไปลองเดินชมงาน แล้วและมีความชื่นชอบในเรื่องของการจัดงานแสดงโชว์ศิลปะ และนิทรรศการ มีความสนใจในการเรียนต่อต่างประเทศ ต้องหลักสูตร Curating Art & Fashion ของสถาบัน istitutomarangoni ในประเทศอิตาลีเลย เป็นหลักสูตรที่มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับทักษะด้านพลวัตของธุรกิจศิลปะ การจัดการศิลปะและแฟชั่นทั้งหมด ทั้งในเรื่องของเนื้อหางาน การประสานงาน เค้าโครงต่างๆ การเลือกโปรโมทกิจกรรม เข้าใจในเอกลักษณ์ของงาน ความแตกต่างระหว่างแฟชั่นและศิลปะในปัจจุบัน และทำการออกแบบและสร้างสรรค์นิทรรศการ รวมไปถึงจัดการในด้านการเงิน สามารถดูแลงานนิทรรศการในทุกด้านออกมาได้ดี หากสนใจในคณะ Curating Art & Fashion สามารถศึกษาข้อมูลการเรียนต่อได้ทาง https://www.istitutomarangoni.com/en/art-courses/art-curating-and-business/curating-art-and-fashion 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับข้อมูลดีๆ ที่เรานำมาฝากกันในเรื่อง แนะนำ 3 สถานที่ จัดงาน ในไทย ซึ่งที่ยกมาเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สถานที่จัดแสดงงานศิลปะยังมีอีกมากให้ได้เลือกไป แต่ถ้าหากใครมีความสนใจอยากเรียนต่อในด้านของการออกแบบ แฟชั่นและศิลปะ ในต่างประเทศ กำลังเตรียมตัว แต่ต้องการคำแนะนำที่สำคัญที่ต้องรู้ ก็สามารถปรึกษาและทำการสอบถามข้อมูลต่างๆ รับคำแนะแนวเพิ่มเติมได้

งานศิลปะ แฟชั่นและการออกแบบเป็นสิ่งที่มีวิวัฒนาการมาตลอดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในสมัยนี้แบรนด์สินค้าเกี่ยวกับแฟชั่นและความหรูหราเกิดขึ้นมากมายให้เราได้เลือกตามสไตล์ที่ชื่นชอบ ซึ่งแต่ละแบรนด์นั้นก็จะมีจุดขาย จุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ผู้จัดการแบรนด์ในอุตสาหกรรมการบริการจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่ช่วยกระตุ้น และต้องสร้างความต้องการให้กับแบรนด์เราได้ หลายคนก็มีความสนใจที่อยากจะเรียนต่อในคณะที่มีการสอนด้านนี้ วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการ เรียนออกแบบ  Fashion Luxury and Hospitality กันให้มากยิ่งขึ้น จะมีอะไรน่าสนใจและน่ารู้กันบ้างนั้น เราลองไปดูกันได้เลย

Fashion Luxury & Brand Management for Hospitality คืออะไร 

การเรียนออกแบบที่มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการแบรนด์สินค้าแฟชั่นและหรูหราสำหรับธุรกิจการบริการ เป็นความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์โดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่น สินค้าหรูหรา และการบริการ เข้าใจบทบาทของผลิตภัณฑ์ในตลาดอย่างแท้จริง ทำการดึงดูดใจผู้บริโภค ปรับปรุงการจัดการต่างๆให้ตอบโจทย์ สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับลูกค้า ทำการส่งเสริมการขายเพื่อให้สามารถสร้างมูลค่าของสินค้าได้บรรลุเป้าหมายได้ สามารถพัฒนาธุรกิจ การขยายแบรนด์ และนอกจากนี้ยังต้องเข้าใจเทรนด์ ยุคสมัย ของอุตสาหกรรมและวิวัฒนาการของการบริการระดับหรู  การสำรวจนวัตกรรมในด้านเทคโนโลยี ความยั่งยืน และความต้องการ และที่สำคัญนั้นจะได้เรียนรู้การสนับสนุนของผู้บริโภคโดยรับประกันคุณภาพที่ให้ความสม่ำเสมอ ให้ได้รับบริการและประสบการณ์ส่วนบุคคลที่มีความเป็นเลิศ และเกิดความประทับใจมากที่สุด

เรียนออกแบบคณะนี้สามารถต่อยอดในอาชีพอะไรได้บ้าง?

• Brand Manager ผู้จัดการแบรนด์สินค้าและบริการหรูหรา 
• Chief Brand Officer หัวหน้าฝ่ายแบรนด์
• Business Analyst นักวิเคราะห์ธุรกิจแบรนด์หรูหรา 
• Digital Marketing Manager ผู้จัดการฝ่ายการตลาดดิจิทัล
• Brand Strategist นักวางกลยุทธ์ด้านแบรนด์
• Fashion / Luxury PR Specialist ผู้เชี่ยวชาญด้านประชาสัมพันธ์แฟชั่นและสินค้าหรูหรา 
• Branding Consultant  ที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์ 

ทักษะการเรียนในคณะนี้ที่จะได้รับ

1. ทักษะกลยุทธ์ของการทำการตลาดและการสร้างแบรนด์สำหรับธุรกิจบริการ 
2. ทักษะด้านความคิดในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและธุรกิจบริการ
3. ทักษะในการวางแผนการสร้างธุรกิจ สร้างแบรนด์
4. ทักษะในการจัดการประสบการณ์ความหรูหรา และนวัตกรรมด้านต่างๆของผู้บริโภค 
5. ทักษะความคิดสร้างสรรค์ การวางแผน และการออกแบบ ทั้งการออกแบบแบรนด์ ออกแบบผลิตภัณฑ์ ออกแบบการประชาสัมพันธ์  และออกแบบการตลาดรูปแบบใหม่
6. ทักษะการสื่อสารรวมถึงภาษาต่างประเทศ ทั้งการใช้วาทศิลป์ในการเจรจาต่อรอง การโน้มน้าวใจ รวมถึงภาษาที่ 2 และภาษาที่ 3 เพราะลูกค้าบริการหรูหรานั้นมีหลากหลายระดับ หลากหลายเชื้อชาติ

เรียน Fashion Luxury and Hospitality ทีไหนดี?

หากใครที่มีความฝันอยากเป็นผู้จัดการแบรนด์ในอุตสาหกรรมการและบริการหรูหรา อยากที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ กำลังมองหาสถาบันออกแบบ แฟชั่นและศิลปะอยู่ ขอแนะนำที่นี่เลย Istituto marangoni เพราะสถาบันนี้มีสาขา หลักสูตร Fashion Luxury and Hospitality ที่มีจุดเด่นคือ มุ่งเน้นหลักสูตรในเรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกับผู้จัดการแบรนด์ในอุตสาหกรรมการบริการ โดยที่สถาบันนี้มีความโดดเด่นในเรื่องของศิลปะ แฟชั่นและการออกแบบอย่างมาก มีหลากหลายหลักสูตรให้ได้เลือกเรียนตามความชอบ มีวิทยาเขตที่หลากหลายซึ่งทั้งหมดเป็นศูนย์กลางในด้านแฟชั่นของโลก ที่สร้างโอกาสการเรียนรู้แฟชั่น ศิลปะและการออกแบบในศาสตร์ที่ประเทศไทยไม่อาจจะสอนได้ มีอาจารย์ที่มีความรู้ มีชื่อเสียง และเป็นปรมาจารย์ในด้านแฟชั่น ศิลปะและการออกแบบ ที่จะสอนให้เราได้รับรู้ถึงประสบการณ์ของการทำงานจริง ได้ลองปฏิบัติงานจริงกับแบรนด์ระดับโลก และได้เรียนรู้ขั้นตอนในการทำงานจริงจากสถานการณ์จริงอีกด้วย 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับข้อมูลดีๆที่เรานำมาฝากกันในเรื่องของเรีย Fashion Luxury and Hospitality หลักสูตรนี้เหมาะกับคนที่ชอบในเรื่องของแฟชั่น การออกแบบของบริการและแบรนด์หรูหราโดยเฉพาะ ซึ่งหากใครที่มีความสนใจในหลักสูตรนี้รวมถึงหลักสูตรอื่นๆอีกมากมายให้ได้เลือกตามความสนใจ ในสถาบัน Istituto Marangoni กำลังวางแผนและเตรียมตัวสำหรับการเรียนต่อ แต่ยังไม่รู้ว่าควรต้องเตรียมตัวอย่างไร มีอะไรที่ต้องทราบบ้าง ก็สามารถลองปรึกษาหรือรับคำแนะแนวการเรียนต่อและการเตรียมความพร้อมเพิ่มเติมได้ที่นี่

ประเทศที่ได้ขึ้นชื่อในเรื่องของศิลปะ วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์แล้ว หากพูดถึงก็ต้องคิดถึงประเทศอิตาลีเป็นอย่างแรกแน่นอน เพราะอิตาลีเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นของสถานที่ศิลปะและประวัติศาสตร์อย่างมาก มีหลากหลายเมือง และสถานที่ท่องเที่ยวน่าไป เหมาะกับการท่องเที่ยวที่น่าจดจำ ซึ่งถ้าหากใครเป็นคนที่ชื่นชอบในงานศิลปะ ที่ประเทศอิตาลีนั้นก็มีหลากหลาย ให้ได้เดินทางไปชมความงามและวัฒนธรรมต่างๆ ในวันนี้เราจึงได้นำบทความดีๆ ที่มาแนะนำในประเทศอิตาลีกันผ่านในเรื่องของแนะนำ 3 มิวเซียม อิตาลี ที่ใครๆ  ต่างก็หลงใหลเมื่อได้ไป ถ้าอยากรู้ว่ามีที่ไหนบ้างเราไปติดตามดูพร้อมกันได้เลย 

3 มิวเซียม อิตาลี ที่ใครๆ ต่างก็หลงใหลเมื่อได้ไป

1. พิพิธภัณฑ์ Pinacoteca di Brera ที่เมือง Milan (มิลาน)

มิวเซี่ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี เป็นหอศิลป์หลักของภาพวาดภายในเมืองมิลาน โดยภายในเป็นแหล่งรวบรวมภาพวาดที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่ง มีผลงานศิลปะมากกว่า 400 ชิ้นให้ได้เลือกชม และยังเป็นผลงานในทุกยุคสมัย ซึ่งเป็นผลงานตั้งแต่ช่วงยุคสมัยของศตวรรษที่ 14 มาจนถึงในสมัยปัจจุบัน มีภาพวาดจากศิลปินชื่อดังรวมไว้ที่นี่มากมาย เช่น ความรักของ Magi โดย Correggio การแต่งงานของพระแม่มารีโดยราฟาเอล และมีรูปปั้นขนาดใหญ่ของจักรพรรดิโปเลียน เป็นต้น โดยที่นี่นั้นเป็นมิเซียมที่มีผลงานที่หลากหลาย มีการจัดเรียงแสดงผลงานตามกาลเวลา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและความแตกต่างกันของผลงานทางศิลปะและวัฒนธรรมในแต่ละสมัยที่มีความแตกต่างกันออกไป ช่วยให้สามารถเข้าใจ และเข้าถึงประวัติศาสตร์ทางศิลปะได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชนชั้นสูงในช่วงสมัยศตวรรษที่ 15 

2. พิพิธภัณฑ์ Uffizi ที่เมือง Florence (ฟลอเรนซ์)

มิวเซี่ยมอิตาลีแห่งนี้เรียกได้ว่าหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในอิตาลี เป็นไฮไลท์หลักของสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด โดยก่อตั้งขึ้นในปี 1584 มีศิลปะภาพวาด และประติมากรรมมากมายเอาไว้ที่นี่ มีศิลปะหลายศตวรรษ ตั้งแต่ยุคกลางจนถึงยุคเรอเนซองส์ และยังจัดแสดงคอลเลกชันที่พิเศษที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย ผลงานที่โดดเด่นของสถานที่แห่งนี้นั่นก็คือ The Birth of Venus ของบอตติเชลลี เป็นผลงานที่ได้รวบรวมทุกความงามและความสง่างามในช่วงยุคเรอเนซองส์ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ที่นี่นั้นยังมีการเข้าชมตอนกลางคืน เอาไว้สำหรับใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์ที่น่าจดจำ มีความเป็นส่วนตัว ห่างไกลจากผู้คน ก็สามารถเดินทางไปที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เลย 

3.  พิพิธภัณฑ์ MAXXI ที่เมือง Rome (โรม)

มิวเซี่ยมแห่งนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่สำคัญของกรุงโรม เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติแห่งศตวรรษที่ 21 ที่ถูกออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง Zaha Hadid โดดเด่นในเรื่องของศิลปะร่วมสมัย ศูนย์รวมแห่งนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นเป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมที่ลายเส้นลื่นไหลสอดประสานเชื่อมโยง ระหว่างพื้นที่ภายนอกและพื้นที่ภายใน พื้นที่โล่ง มีแสงธรรมชาติที่ทำการส่องสว่างเข้ามาภายใน เกิดกลายเป็นสนามของสถาปัตยกรรม’ (field of buildings) ที่ใช้ระยะเวลาในการสร้างมากกว่าสิบปี เพื่อทำการเปิดรับและเชิญชวนให้ผู้คนมาเยี่ยมเยียนในสถานที่แห่งนี้ โดยในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั้นมีทั้งภาพวาด ประติมากรรม ภาพถ่ายและงานศิลปะจัดวางที่ให้เราได้เดินชมมากมาย มีผลงานของศิลปินชื่อดังระดับชาติมากมาย  เช่น Anish Kapoor เป็นต้น รวมไปถึงยังมีผลงานคอลเล็กชันพิเศษจัดแสดงอีกด้วย หากใครได้มานั้นจะหลงรักและตกอยู่ในภวังค์ของโลกศิลปะและประวัติศาสตร์ที่สวยงามแน่นอน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะที่เรานำมาแนะนำในวันนี้ผ่านเรื่องแนะนำ 3 มิวเซียม อิตาลี ที่ใครๆ ต่างก็หลงใหลเมื่อได้ไป โดยแต่ละที่นั้นเป็นสถานที่โดดเด่นในด้านของศิลปะและวัฒนธรรมในแต่ละเมือง ที่สามารถเลือกเดินทางไปชมความงามได้ตามความชื่นชอบ เช่นเดียวกันกับที่สถาบัน Istituto Marangoni สถาบันที่มีหลักสูตรในเรื่องของศิลปะ แฟชั่นและการออกแบบที่มีวิทยาเขตในประเทศอิตาลีทั้งในเมืองมิลาน ฟลอเรนซ์และโรม หากใครสนใจอยากเรียนต่อต่างประเทศในด้านนี้ ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ก็สามารถสอบถามได้ที่นี่เลย https://dp-education.com/ 

การเดินทางไปต่างประเทศนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน อยากไปท่องเที่ยวเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในต่างประเทศกันทั้งนั้น โดยเฉพาะประเทศอิตาลี เป็นประเทศในทวีปยุโรปที่เหล่านักท่องเที่ยวให้ความสนใจในการเดินทางมาที่นี่ เพราะมีความงดงามในเรื่องของศิลปะอย่างมาก มีแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นในเรื่องของวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม มีชื่อเสียงในด้านของสถาปัตยกรรมที่งดงาม และเป็นประเทศที่มอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องได้มา แต่การเดินทางไปต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครก็จะสามารถไปได้ เพราะจะต้องมีการขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศอย่างถูกต้องอีกด้วย โดยการ ขอวีซ่าอิตาลี มีข้อจำกัดมากมาย รวมถึงจำนวนเงินในบัญชีอีกด้วย วันนี้เราจึงพาทุกคนมาทำความเข้าใจในเรื่องของขอวีซ่า ต้องมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ที่เรานำมาฝากกัน เราไปดูกันเลย 

ขั้นตอนในการ ขอวีซ่าอิตาลี

1. ก่อนที่เราจะทำการขอวีซ่าได้นั้นเราจะต้องเลือกประเภทของวีซ่าอิตาลีที่ต้องการเสียก่อน ซึ่งวีซ่านั้นเป็นใบอนุญาตในการเดินทางเข้าประเทศอิตาลี หรือประเทศเชงเก้นอื่นๆ ที่ทำการออกโดยผู้แทนจากทางสถานทูตอิตาลี หรือสถานกงสุล ซึ่งมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่จะเดินทางไป มีด้วยกันดังนี้

• วีซ่าอิตาลีประเภท A เป็นวีซ่าที่ใช้สำหรับการเปลี่ยนเครื่องบิน โดยวีซ่านี้จะมีเวลาในการอยู่ภายในสนามบินเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่สามารถออกนอกเขตจากของสนามบินได้ และไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้ามือง โดยปกติวีซ่าประเภทนี้จะออกโดยสายการบินนั่นเอง 
• วีซ่าอิตาลีประเภท C เป็นวีซ่าที่สำหรับการพักอาศัยภายในประเทศอิตาลีและภายในประเทศกลุ่มเชงเก้นในระยะสั้นที่ไม่เกิน 90 วัน มีทั้งวีซ่าท่องเที่ยว สำหรับท่องเที่ยวภายในประเทศ  วีซ่านักเรียนระยะสั้น สำหรับนักเรียนที่เข้ามาศึกษาหลักสูตรไม่เกิน 90 วัน  วีซ่าธุรกิจ ในการเดินทางมาติดต่อธุรกิจ ภายในประเทศอิตาลี, วีซ่านักกีฬา สำหรับนักกีฬาและโค้ชฝึกสอนที่เดินทางมาแข่งขันภายในประเทศ และวีซ่าเยี่ยมเยียน สำหรับเยี่ยมญาติ เพื่อน หรือคนในครอบครับที่อยู่ในประเทศอิตาลี
• วีซ่าประเภท D วีซ่าสำหรับการอาศัยในประเทศอิตาลีระยะยาวที่เกิน 90 วัน อย่างเช่น การเดินทางไปประกอบอาชีพ การเรียนในหลักสูตรระยะยาว และพักอาศัยกับคนในครอบครัว

2. กรอกแบบฟอร์มในการสมัครวีซ่าและเตรียมเอกสารที่ต้องใช้เอาไว้ให้พร้อม ทั้งหนังสือเดินทาง หลักฐานการเงิน หลักฐานการจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ที่พัก หลักฐานการทำงาน เอกสารระบุตัวตน Checklist เอกสารสำคัญสำหรับการทำวีซ่าอิตาลี และกรมธรรม์ ประกันภัย และทำการกรอกข้อมูลอย่างละเอียดและครบถ้วน 
3. ทำการนัดหมายวันเวลาที่จะเดินทางไปยื่นขอวีซ่า และเดินทางไปยื่นวีซ่าอิตาลีที่ศูนย์ VFS Global จากนั้นรอฟังผลการทำวีซ่าว่าผ่านหรือไม่ 

ขอวีซ่า ต้องมีเงินในบัญชีเท่าไหร่

คำถามยอดฮิตอย่างมาก ว่าการขอวีซ่านั้นเราจะต้องมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ โดยปกติแล้วเราควรที่จะมีเงินในบัญชีเป็นหลักแสนขึ้นไป เพื่อความสบายใจและความอุ่นใจ โดยควรมีเงินในบัญชีประมาณ 120,000 – 200,000 ต่อการเดินทาง 15 วัน, มีเงินในบัญชีประมาณ 400,000 – 500,000 บาท ต่อการเดินทาง 30 วันและมีเงินในบัญชีประมาณ 800,000 บาทขึ้นไป ต่อการเดินทาง 60 วัน ทั้งนี้ไม่ควรที่จะโอนเงินก้อนใหญ่เข้าไปในบัญชีทีเดียว เราควรที่จะมีการแต่งบัญชีของเราให้ภายในระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือนบัญชีจะต้องมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเพื่อความน่าเชื่อถือ และเราควรที่จะมีเงินสำหรับค่าใช้จ่ายประมาณ 100 ยูโรต่อวัน หรือประมาณ 3,500 – 4,000 บาท อีกด้วย สถานทูตอิตาลีจะได้มองว่าให้เรามีเงินในบัญชีเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินด้วย 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับข้อมูลที่สำคัญที่เรานำมาฝากกันในเรื่องขอวีซ่าอิตาลี ต้องมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากหากเราต้องการเดินทางไปประเทศอิตาลี เช่นเดียวกัน หากใครที่มีความสนใจในการเรียนด้านออกแบบ แฟชั่นและศิลปะในประเทศอิตาลี กำลังเตรียมความพร้อมเพื่อหาสถาบันเรียนต่อ ต้องการคำแนะนำ สามารถปรึกษาและทำการสอบถามข้อมูลต่างๆ หรือรับคำแนะแนวเพิ่มเติมในการเรียนต่อได้ที่นี่เลย https://dp-education.com/