#DP Blog

การเข้าใจในตัวตน บุคลิกภาพ และเอกลักษณ์ความเป็นตัวเราได้ดีนั้นเป็นสิ่งที่ใครก็ต่างปรารถนา ยิ่งในโลกของแฟชั่นที่หมุนเร็วเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้หลายคนหันมาสนใจในการเรียนต่อด้านแฟชั่นและการออกแบบกันมากขึ้น Fashion Styling ก็เป็นอีกหนึ่งสาขายอดนิยมของใครหลายคนที่มีความฝันอยากเป็นนักออกแบบและสไตลิสต์มากฝีมือ เพราะเป็นหนึ่งในศาสตร์ที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์และความเข้าใจในตัวตนของแบรนด์หรือบุคคลได้อย่างลึกซึ้ง โดยสถาบันออกแบบในต่างประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง Marangoni ก็มีเปิดสอนเช่นกัน วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้กัน จะมีอาชีพไหนน่าสนใจนั้นไปดูกันเลย

เรียน Fashion Styling ที่ Marangoni แล้วต่อยอดสู่อาชีพอะไรได้บ้าง?

1. Fashion Stylist (แฟชั่นสไตลิสต์) นั้นต้องสามารถต่อยอดในอาชีพ Fashion Stylist ได้อย่างแน่นอน เพราะอาชีพนี้เป็นอาชีพเกี่ยวกับการเลือกสรรเสื้อผ้า เครื่องประดับและองค์ประกอบโดยรวมเพื่อส่งเสริมให้แต่ละคนโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ตามแบบของตนเอง หรือเหมาะสมกับธีมของงานต่างๆ โดยผู้ที่จะต่อยอดอาชีพนี้จะต้องตามทันเทรนด์แฟชั่น มีสายตาที่เฉียบแหลม สามารถมองบุคลิกของแต่ละคนได้เฉียบขาด และมีทักษะในการสื่อสารที่ดี

2. Personal Stylist เป็นผู้ที่สามารถดูแลภาพลักษณ์ของบุคคลแบบเฉพาะเจาะจง โดยการเรียน จะสอนในเรื่องการเกี่ยวกับการเข้าใจบุคลิก รูปร่าง สีผิว ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนอย่างละเอียด และสามารถเลือกเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายให้ตรงจุดและตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด โดยผู้ที่จะต่อยอดอาชีพนี้จะต้องมีความน่าเชื่อถือเป็นหลัก

3. Fashion Consultant (ที่ปรึกษาด้านแฟชั่น) อาชีพนี้นั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถในการให้คำแนะนำกับแบรนด์ ดีไซเนอร์ หรือองค์กร เกี่ยวกับด้านแฟชั่น ภาพลักษณ์แบรนด์ การวางกลยุทธ์แฟชั่นและการแต่งตัว การวิเคราะห์เทรนด์แฟชั่นในปัจจุบันที่มีความทันสมัยเพื่อนำไปต่อยอดในการพัฒนาโปรดักต์ โดยการเรียนที่ Marangoni จะช่วยให้เรามีความรู้และความเข้าใจในด้านจุดแข็งของแบรนด์และวิธีนำเสนอผ่านภาพลักษณ์อย่างมืออาชีพ

4. Visual Merchandiser (ผู้จัดการภาพลักษณ์สินค้า) โดยอาชีพนี้นั้นมุ่งเน้นในเรื่องของการจัดการสินค้า สร้างภาพลักษณ์และแบรนด์สินค้าให้ดูดี ดึงดูดความสนใจได้ ออกแบบการจัดวางสินค้าในร้านค้า (หน้าร้านหรือในช็อป) คิดค้นสิ่งที่จะสามารถส่งเสริมการขายได้ โดยการเรียนจะทำให้เรามีความรู้ในด้านการใช้สี องค์ประกอบศิลป์ และพฤติกรรมผู้บริโภค

5. Costume Designer (นักออกแบบเครื่องแต่งกาย) เป็นอาชีพที่มีการทำงานเกี่ยวกับการออกแบบและจัดหาเสื้อผ้าให้เหมาะกับตัวละครและเนื้อเรื่อง หรือแม้แต่งานแฟชั่นโชว์ก็ต้องดูแลลุคของนางแบบให้ตรงกับวิสัยทัศน์ของดีไซเนอร์ ต้องเข้าใจทั้งแฟชั่นและวัฒนธรรมต่างๆอย่างถ่องแท้

6. Fashion Influencer / Content Creator เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มาแรงอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเป็นอาชีพที่ทำงานเกี่ยวกับการสร้างคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย เช่น Instagram, TikTok หรือ YouTube โดยใช้ความรู้ของ Fashion Styling โดยการสร้างลุคหรือรีวิวเทรนด์ต่าง ๆ สามารถต่อยอดการสร้างรายได้ผ่านสปอนเซอร์ หรือหากมีชื่อเสียงมากอาจจะมีโอกาสได้ร่วมงานกับแบรนด์ดัง อาชีพนี้จะต้องใช้ทักษะในด้านการมองภาพรวมของสไตล์ต่างๆและสื่อสารออกมาผ่านคอนเทนต์

7. Brand Stylist / Creative Director มาถึงอาชีพสุดท้ายที่ถ้าหากเราเรียน ที่ Marangoni จะสามารถนำไปต่อยอดได้สูงขึ้นและเป็นอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝัน นั่นก็คือการเป็น Brand Stylist / Creative Director โดยมีหน้าที่ในการดูแลทิศทางภาพลักษณ์ของแบรนด์ ตั้งแต่เริ่มต้นทั้งแคมเปญโฆษณา คอนเซ็ปต์โชว์ ไปจนถึง Mood & Tone โดยรวมของแบรนด์นั้นๆให้ตอบโจทย์และสร้างความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นได้ดี ซึ่งอาชีพนี้จะต้องมีทักษะในด้านการจัดการและความคิดสร้างสรรค์ ความเข้าใจแบรนด์อย่างลึกซึ้ง

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ที่เรานำมาฝากกัน ที่ Marangoni จะช่วยให้เรามีความเข้าใจในเรื่องของแฟชั่นการออกแบบมากยิ่งขึ้น ยิ่งหากมีเป้าหมายที่ชัดเจน บวกกับการฝึกฝนและการสร้างคอนเนกชันในอุตสาหกรรมนี้ การเรียนที่ Marangoni คือจุดเริ่มต้นที่แข็งแกร่งในการเข้าสู่โลกแฟชั่นระดับโลก และเปิดประตูสู่เส้นทางอาชีพที่หลากหลายและน่าตื่นเต้นในอนาคต ใครที่สนใจอยากเรียนต่อต่างประเทศ กำลังศึกษาข้อมูล ต้องการที่ปรึกษาเกี่ยวกับการเรียนต่อ ก็สามารถสอบถามได้

แฟชั่นและการออกแบบไม่ใช่เพียงแต่เสื้อผ้าเท่านั้น แต่เป็นการเล่าเรื่องและถ่ายทอดออกมาผ่านทางเนื้อผ้า สี เส้นสาย และดีไซน์ที่บ่งบอกตัวตนของผู้ออกแบบได้อย่างลึกซึ้ง สิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ดึงดูดให้หลายๆคนมีความใฝ่ฝันที่อยากเรียนทางด้านแฟชั่นและการออกแบบ และอยากทำ อาชีพดีไซเนอร์ กันมากยิ่งขึ้น เพราะได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างสิ่งใหม่ สื่อสารอารมณ์ ความเชื่อ และแรงบันดาลใจ แต่การเริ่มต้นเป็นดีไซเนอร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะเป็นได้ ต้องผ่านการเรียนรู้และการฝึกฝนเป็นอย่างดีเสียก่อน วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจสิ่งที่ต้องรู้หากอยากเป็นดีไซเนอร์ จะเป็นอย่างไรนั้นเราลองไปดูกันต่อไปเลย 

อาชีพดีไซเนอร์ ควรเรียนรู้อะไรบ้าง?

1. เรียนรู้ตัวเราเองว่าอยากเป็นดีไซเนอร์สายไหน ก่อนที่จะไปฝึกฝนทางด้านต่างๆเราจะต้องเรียนรู้ตัวของเราเองก่อนว่ามีความชื่นชอบและอยากจะทำสายไหนกันแน่ เพราะดีไซเนอร์นั้นมีหลากหลายแขนงให้เราเลือก ดังต่อไปนี้

• กราฟิกดีไซน์ (Graphic Design) ออกแบบโลโก้แบรนด์ โปสเตอร์แบรนด์
• แฟชั่นดีไซน์ (Fashion Design) ออกแบบเสื้อผ้า คอลเลคชันต่างๆ ออกแบบลายผ้า
• อินทีเรียร์ดีไซน์ (Interior Design) ออกแบบตกแต่งภายใน 
• UX/UI ดีไซน์ (User Experience/User Interface) ออกแบบแอปพลิเคชัน เว็บไซต์
• อุตสาหกรรมหรือผลิตภัณฑ์ (Product Design / Industrial Design) ออกแบบผลิตภัณฑ์  หรือสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ 

2. เรียนรู้พื้นฐานของการออกแบบทั้งหมด เพราะพื้นฐานของการออกแบบนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่จะช่วยปูทางให้เรามีความเข้าใจในการออกแบบมากยิ่งขึ้น นำไปประยุกต์ใช้กับงานที่เราทำได้ ซึ่งพื้นฐานของการออกแบบที่ควรรู้มีด้วยกันดังนี้

• องค์ประกอบศิลป์ (Composition) การจัดวางองค์ประกอบต่างๆ จัดวางภาพ ข้อความ วัตถุ ให้ดูน่าสนใจ มีน้ำหนักสายตา (visual balance)
• ทฤษฎีสี เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน เพราะจะต้องมีการจัดคู่สีที่มีความเข้ากัน การใช้สีเพื่อสื่อสารอารมณ์ต่างๆ เพราะแต่ละสีนั้นก็มีผลต่อความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป อย่างเข่น สีแดงให้ความรู้สึกที่มีพลัง มีความเร่งเร้า, สีน้ำเงินให้ความรู้สึกที่สงบ มีความน่าเชื่อถือ เป็นต้น 
• Typography การเลือกใช้ตัวอักษรและจัดเรียงตัวอักษรให้สามารถอ่านได้ง่าย และมีความน่าสนใจ อีกทั้งตัวอักษรยังมีบุคลิกที่แตกต่างกัน ทั้งทางการ สนุก และทันสมัย เป็นต้น
• Layout / Grid System การจัดวางจัดเนื้อหาให้เข้าใจง่าย 

3. เรียนรู้การใช้เครื่องมือที่จำเป็นต่อการออกแบบ แต่ละแขนงของการออกแบบมีเครื่องมือที่ใช้ต่างกันไป 

4. เข้าใจแนวคิดด้านการออกแบบ (Design Thinking) เพราะการออกแบบนั้นไม่ใช่เพียงแต่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังจะต้องเข้าใจและมีองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้

• จะต้องเข้าใจว่าปัญหาคืออะไร มีความต้องการอย่างไร และกลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร 
• เมื่อเข้าใจปัญหาแล้วถึงจะสามารถคิดไอเดียออกมาหลายๆแบบ
• สร้างแบบจำลองผลงาน (mockup/prototype) เพื่อให้เห็นชิ้นงานการออกแบบที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น สามารถสื่อสารความต้องการออกมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
• นำผลงานที่ได้ออกแบบแล้วไปทดลองใข้กับผู้ใช้จริง หรือกลุ่มเป้าหมายของเราเอง
• นำข้อผิดพลาดและคำติชมมาแก้ไขและพัฒนาผลงานของเราให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด 

5. ฝึกฝนการทำผลงานจริงและสะสม Portfolio โดยเริ่มจากการทำโปรเจกต์เล็ก ๆ หรือรีดีไซน์ของที่มีอยู่แล้วให้มีความสวยงาม ดูดีมากขึ้น หรือแก้ไขจุดบกพร่องของงานนั้นๆ สร้างผลงาน 3-5 ชิ้น (ที่คิดเองและลงมือทำ) โดยรูปภาพที่ออกมาต้องดูดี อ่านง่าย และสามารถอธิบายได้ถึงการออกแบบ เพราะ Portfolio นั้นมีความสำคัญที่สุดในการสมัครงานหรือหาลูกค้า

6. หาคอนเนคชันและแลกเปลี่ยนผลงาน ในอาชีพดีไซเนอร์นั้นคอนเนคชันถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ โดยอาจจะหาได้จากการเข้ากลุ่มดีไซน์ต่างๆ การแชร์ผลงานบนโซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ และการเข้าร่วมแข่งขันเพื่อฝึกทักษะการทำงานในชีวิตจริง 

จบไปแล้วนะคะ กับความรู้ดีๆในเรื่องอยากเป็นดีไซเนอร์ เริ่มต้นยังไงดี? ที่เรานำมาฝากกัน ถือได้ว่าเป็นอาชีพที่มีความสำคัญและโดดเด่น แต่การเป็นดีไซเนอร์ที่ดีได้นั้นต้องผ่านการฝึกฝนและเรียนรู้ หากเรามีความขยัน ตั้งใจเรียนรู้ สักวันเราจะเป็นดีไซเนอร์มีชื่อเสียงได้แน่นอน และใครที่มีความสนใจอยากเรียนต่อด้านออกแบบในต่างประเทศ ต้องการข้อมูลหรือปรึกษาทางด้านการเรียนต่อ สามารถสอบถามและปรึกษาได้

วงการแฟชั่นและการออกแบบเป็นสิ่งที่มีมานานตั้งแต่ในสมัยอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ซี่งขณะนี้อยู่ในยุคที่วงการแฟชั่นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ว่าการออกแบบเสื้อผ้ามีความสำคัญอีกต่อไป แต่ยังครอบคลุมถึงการบริหารจัดการแบรนด์ กลยุทธ์การตลาด การวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค และการเข้าใจโครงสร้างธุรกิจระดับโลกของแฟชั่น ซึ่งธุรกิจแฟชั่นนั้นเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตและต้องการบุคลากรที่มีความรู้รอบด้าน ไม่เพียงมีแค่การออกแบบเท่านั้นที่สำคัญ แต่ต้องเข้าใจภาพรวมของตลาดและสามารถขับเคลื่อนแบรนด์ให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ เพราะการเข้าใจกลไกเบื้องหลังธุรกิจแฟชั่นคือหัวใจหลักของความสำเร็จ วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับหลักสูตรดีๆผ่านในเรื่องหลักสูตร Fashion Business ที่ Marangoni เหมาะกับใคร? ใช้ทำงานอะไรได้บ้าง จะเป็นอย่างไรนั้น ไปดูพร้อมกันต่อได้เลย 

หลักสูตร Fashion Business เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง 

หลักสูตรที่มุ่งเน้นการเรียนการสอนไปที่เบื้องหลังของอุตสาหกรรมแฟชั่นและธุรกิจแฟชั่นครบทุกด้าน ทั้งด้านการตลาด การจัดการธุรกิจ การวิเคราะห์ข้อมูลของธุรกิจแฟชั่น พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล และกลยุทธ์แบรนด์ที่จะสามารถขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตไปได้อย่างดี ซึ่งเนื้อหา ดังนี้

1. เรียนเกี่ยวกับการตลาดและการสื่อสารแฟชั่น (Fashion Marketing & Communication)  เรียนรู้เกี่ยวกับการวางแผน การจัดการและวิเคราะห์ตลาดสำหรับแบรนด์แฟชั่น เพื่อสามารถที่จะนำข้อมูลไปวางกลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และนอกจากนี้ยังเรียนรู้เกี่ยวกับการจัด PR และการจัดโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขายอีกด้วย 

2. เรียนเกี่ยวกับภาพรวมของอุตสาหกรรมแฟชั่น (Fashion System & Market Overview โดยทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างของอุตสาหกรรมแฟชั่นตั้งแต่การผลิต การจำหน่าย จนถึงการวางกลยุทธ์ที่โดดเด่นที่จะสามารถดึงดูดลูกค้าได้ ทำการวิเคราะห์ผู้เล่นหลักในตลาด เช่น แบรนด์หรู (Luxury) และศึกษาการทำงานของแฟชั่นในแต่ละภูมิภาคที่มีชื่อเสียงในด้านของแฟชั่นและการออกแบบ อย่างเช่น ยุโรป เอเชีย และสหรัฐอเมริกา

3. เรียนเกี่ยวกับ Retail Management & E-Commerce เรียนรู้กลยุทธ์การจัดการร้านค้าแฟชั่นในรูปแบบต่างๆทั้งหมดอย่างละเอียด เรียนรู้การออกแบบประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) และ UX รวมไปถึงเรียนรู้การวางกลยุทธ์ทางการค้าในรูปแบบและช่องทางต่างๆ

4. เรียนเกี่ยวกับการจัดการแบรนด์ (Fashion Brand Management) เรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างแบรนด์แฟชั่นและสามารถรักษาตัวตนของแบรนด์ให้มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เรียนรู้ Brand Positioning, Brand Architecture และการวางกลยุทธ์ระยะยาว โดยการเรียนรู้ผ่านแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ

5. เรียนเกี่ยวกับ Fashion Buying & Merchandising เป็นการเรียนเกี่ยวกับเทรนด์แฟชั่นและวิเคราะห์  ศึกษาพฤติกรรมลูกค้าแบบละเอียด  

เหมาะกับใคร?

• เหมาะสำหรับผู้ที่รักในแฟชั่นและการออกแบบ แต่มีความถนัดทางด้านธุรกิจหรือกลยุทธ์ 
• เหมาะสำหรับมีความสนใจในด้านของการตลาดแฟชั่น การวิเคราะห์เทรนด์ผู้บริโภค การสร้างแบรนด์และพัฒนาต่อยอดเพื่อให้เกิดกำไรและสร้างมูลค่าให้กับแฟชั่นการออกแบบของเราเอง
• เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบวางแผนและคิดเชิงกลยุทธ์ สามารถมองการไกล คิดถึงการเติบโตของธุรกิจในอนาคตได้
• เหมาะสำหรับผู้ที่อยากทำงานในบริษัทแฟชั่นระดับโลก หรือตั้งแบรนด์แฟชั่นของตัวเอง แต่ต้องการพื้นฐานแน่น ๆ ทางธุรกิจเพื่อแข่งขันในตลาดโลก

สามารถนำความรู้ไปทำงานในด้านไหนได้บ้าง?

1. Fashion Brand Manager ทำหน้าที่วางแผนสร้างจุดยืนของแบรนด์ สร้างภาพลักษณ์ และกลยุทธ์ของแบรนด์ เพื่อให้โดดเด่นในตลาด นอกจากนี้ยังต้องทำการสื่อสารกับทุกฝ่าย เช่นฝ่ายการตลาด ดีไซเนอร์ และฝ่ายผลิต 
2. Marketing Manager / Fashion Marketing Specialist มีหน้าที่วางกลยุทธ์การตลาดให้แบรนด์แฟชั่น (ทั้งออนไลน์/ออฟไลน์) ทำการวิเคราะห์ตลาด ผู้บริโภค และคู่แข่ง ดูแลการโปรโมทแบรนด์
3. Product Developer / Collection Coordinator มีหน้าที่วางแผนคอลเลกชันตามเป้าหมายธุรกิจ ควบคุมคุณภาพและงบประมาณของสินค้า และทำงานร่วมกับดีไซเนอร์และฝ่ายผลิต
4. Fashion Business Consultant มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแบรนด์แฟชั่นในด้านกลยุทธ์ การเติบโต การเข้าสู่ตลาดใหม่ 
5. E-commerce Manager / Digital Fashion Strategist มีหน้าที่บริหารร้านค้าออนไลน์ของแบรนด์ วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าออนไลน์และ conversion

จบไปแล้วนะคะ กับข้อมูลที่น่าสนใจ หากใครที่รักในด้านของแฟชั่นและการออกแบบ แต่มีความสนใจทางด้านธุรกิจ หลักสูตรนี้เรียกได้ว่าตอบโจทย์อย่างมาก แต่นอกจากนี้ที่สถาบัน Marangoni ยังมีอีกหลายหลักสูตรให้ได้เลือกเรียนตามความสนใจเลย ใครที่อยากเรียนต่อแฟชั่นต่างประเทศและต้องการที่ปรึกษาดีๆ ก็สามารถติดต่อได้ที่นี่

การเป็น นางแบบ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ความสูงหรือรูปร่างอย่างเดียว แต่คือการถ่ายทอดพลัง ความมั่นใจ และเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ผ่านทางท่าทาง การเดิน หรือแม้แต่สายตา หากคุณมีความฝันจะก้าวเข้าสู่วงการเดินแบบหรือถ่ายแบบ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักขั้นตอนที่ควรเริ่มต้น และแนวทางที่ทำได้จริงสำหรับมือใหม่

1. ทำความเข้าใจก่อนว่า “นางแบบ” มีกี่ประเภท

ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องสูง 175 ซม. จึงจะเป็นได้ เพราะในวงการมีหลายประเภทที่เปิดโอกาสให้หลากหลายรูปร่างและบุคลิก เช่น

Runway Model: เดินบนเวทีแฟชั่นโชว์

Commercial Model: ถ่ายโฆษณา, รีวิวสินค้า หรือแคมเปญต่างๆ

Editorial Model: ถ่ายแฟชั่นลงนิตยสาร หรือแคมเปญแนวอาร์ต

Plus-size / Petite / Fitness / Hand Model: เจาะจงด้านรูปร่างหรือจุดเด่นเฉพาะ
การเข้าใจว่าตัวเองเหมาะกับเส้นทางแบบไหน จะช่วยให้คุณวางเป้าหมายและฝึกฝนได้ตรงจุด

2. สร้างพอร์ตโฟลิโอ

พอร์ตโฟลิโอคือบัตรผ่านใบแรกของคุณในการเข้าสู่วงการ ควรเริ่มจากการถ่ายภาพโปรไฟล์พื้นฐาน ได้แก่ รูปหน้าตรง ด้านข้าง ครึ่งตัว และเต็มตัวแบบไม่แต่งเยอะ ให้เห็นโครงสร้างชัดเจน
ต่อมาอาจค่อยๆ เพิ่มภาพถ่ายแนวแฟชั่นหรือธีมต่างๆ ที่แสดงทักษะการโพสและความสามารถในการถ่ายทอดอารมณ์ การถ่ายกับช่างภาพมืออาชีพสักครั้งหนึ่งก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

3. ฝึกโพส & เดินแบบ

การโพสท่าให้ดูมีพลังและดูดีผ่านเลนส์กล้องต้องอาศัยการฝึกฝนและทดลองหน้ากระจกบ่อยๆ ศึกษามุมที่ตัวเองดูดีที่สุด และฝึกใช้สายตาให้สื่อสารได้โดยไม่พูด
เช่นเดียวกับการเดินแบบ ต้องฝึกเดินตรง ฝีเท้าสม่ำเสมอ และส่งพลังจากบุคลิกภาพออกมาอย่างมั่นใจ ดูคลิปของมืออาชีพ เช่น Naomi Campbell, Gisele Bündchen หรือ Gigi Hadid เพื่อศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้

4. ดูแลรูปร่างและบุคลิก

ไม่จำเป็นต้องผอมมาก แต่ควรรู้จักดูแลตัวเองให้ “พร้อมอยู่เสมอ” ทั้งด้านรูปร่าง สุขภาพผิว และพลังงานภายใน
การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนพักผ่อนเพียงพอจะช่วยให้คุณมีความมั่นใจและพร้อมลุยงานได้ทุกเวลา นอกจากนี้ ควรฝึกการพูดและการเข้าสังคมด้วย ต้องทำงานร่วมกับทีมหลายฝ่าย

5. หาคอนเนกชันและโอกาส

เส้นทางนี้ไม่ใช่แค่เดินเข้าสตูดิโอแล้วมีคนเลือก คุณต้องกล้าแสดงตัว สร้างคอนเนกชัน และไม่หยุดพัฒนาตัวเอง
เริ่มจากสมัครเวิร์กช็อปหรือแคมป์ฝึก ลองแคสติ้งกับโมเดลลิ่งเอเจนซีที่น่าเชื่อถือ (ตรวจสอบประวัติก่อนเสมอ) หรือสร้าง Instagram Portfolio ของตัวเองก็ได้เช่นกัน แสดงความสามารถให้โลกเห็นว่า “คุณก็ทำได้!”

ไม่ใช่เรื่องของโชคเพียงอย่างเดียว แต่คือการตั้งเป้าหมาย ฝึกฝน และเตรียมตัวอย่างมีวินัย ทุกคนสามารถเริ่มต้นจากศูนย์ได้ หากมีใจรัก ความกล้า และความพยายามที่ต่อเนื่อง เชื่อเถอะว่า วันหนึ่งคุณอาจได้เดินบนเวทีในฝันของคุณก็เป็นได้

ติดตามทริกดีดี และ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวงการแฟชั่น การออกแบบ และ สามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนต่อที่ต่างประเทศ ทั้งสายแฟชั่น สายออกแบบ หรือสายมัลติมีเดีย DP-Education เราเป็น Partner กับ 3 สถบันดังอย่าง Istituto Marangoni ,Domus Academy และ Naba

ปี 2025 นี้ วงการแฟชั่นยังคงเต็มไปด้วยความหลากหลายและสนุกสนานในการแต่งตัว เทรนด์ใหม่ ๆ ยังคงผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับดีไซน์ล้ำสมัยได้อย่างลงตัว สำหรับใครที่อยากอัปเดตลุคแบบไม่เอาท์ บทความนี้เรารวบรวม 7 เทรนด์แฟชั่น ที่คุณควรมีติดตู้ไว้ในปีนี้!

ไปดูกันว่า เทรนด์แฟชั่น ที่เรานำมาเสนอมีอะไรบ้าง

1. เสื้อครอปและเบลเซอร์แมตช์กัน

การจับคู่เสื้อครอปสั้นกับเบลเซอร์ทรงโอเวอร์ไซส์กำลังเป็นไอเท็ม Must-have ที่สาวๆ หลายคนเลือกใส่ในปีนี้ ลุคนี้ให้ความรู้สึกทั้งเท่และมีพลัง เหมาะกับวันทำงานที่อยากดูมีสไตล์ หรือจะใส่ไปคาเฟ่ก็ไม่ดูเป็นทางการเกินไป
เคล็ดลับคือเลือกสีที่ตัดกันเล็กน้อย เช่น ครอปสีขาวกับเบลเซอร์เทา หรือครอปสีส้มกับเบลเซอร์เบจ แมตช์กับกางเกงเอวสูงจะช่วยยืดช่วงตัวให้ดูเพรียวขึ้นด้วย

2. กระโปรงยาวพลิ้ว ๆ

กระโปรงแม็กซี่ทรงพลิ้วผ้าน้ำหนักเบากลายเป็นไอเท็มฮิตที่ให้ลุคเฟมินีนแบบทันสมัย ยิ่งจับคู่กับเสื้อครอปหรือเสื้อกล้ามเข้ารูป ยิ่งเสริมให้รูปร่างดูเพรียวบางและมีความเคลื่อนไหว
เหมาะมากสำหรับหน้าร้อนหรือวันที่ต้องการความสบาย แนะนำสีครีม สีเทาอ่อน หรือโทนธรรมชาติ แมตช์กับรองเท้าแตะหรือสนีกเกอร์ก็ยังรอด

3. สีพาสเทลโทนอุ่น

โทนสีพาสเทลอย่าง “แอปริคอต, ชมพูนู้ด, เหลืองคัสตาร์ด” มาแรงแบบฉุดไม่อยู่ในปีนี้ เพราะเป็นสีที่ให้ลุคอ่อนหวานแบบมีพลัง ใส่ง่าย และทำให้ผิวดูสดใส
สามารถแมตช์เสื้อผ้าสีเหล่านี้เข้ากับยีนส์หรือสีเอิร์ธโทนได้ง่ายมาก ช่วยให้ลุคโดยรวมดูละมุนและไม่จัดจ้านจนเกินไป เหมาะทั้งสำหรับทำงานและเที่ยวเล่น

4. เดนิมกลับมาอีกครั้ง

เสื้อผ้าเดนิมทั้งเสื้อ กางเกง หรือแม้แต่เดรสยีนส์ กลับมาแรงอีกครั้งในปี 2025 ด้วยลุคที่ทั้งเท่และดูเรียบง่ายแต่มีสไตล์ เดนิมสามารถใส่ได้ทุกเพศทุกวัย และเข้าได้กับหลายโอกาส
เทรนด์ใหม่ที่มาแรงคือการแมตช์เดนิมแบบ “เดนิมทั้งตัว” (denim-on-denim) เช่น แจ็กเก็ตยีนส์คู่กับกางเกงยีนส์ในเฉดเดียวกัน หรือจะลองจับคู่ยีนส์คนละโทนเพื่อเพิ่มลูกเล่นก็ได้เช่นกัน

5. ชุดเชตคอร์เซต

คอร์เซตกลับมาอีกครั้งแบบไม่เชย ด้วยการปรับดีไซน์ให้ทันสมัยและสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน หลายแบรนด์เริ่มออกแบบคอร์เซตที่ใส่คู่กับกางเกงหรือกระโปรงเข้าชุดได้แบบสวยสง่า
นอกจากช่วยเน้นรูปร่างช่วงเอวและอกแล้ว ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใส่ด้วยลุคที่ดูเซ็กซี่แต่มีพลัง เหมาะกับสายแฟชั่นที่ชอบความโดดเด่น

6. งานปักและลูกไม้แนววินเทจ

เสื้อผ้าที่มีลูกไม้หรือรายละเอียดงานปักแบบวินเทจเริ่มกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะเสื้อเชิ้ต กระโปรง หรือเดรสที่ดูมีความประณีตในแบบสมัยก่อน
เมื่อจับคู่กับไอเท็มร่วมสมัย เช่น แจ็กเก็ตยีนส์ หรือรองเท้าหนังทรงโมเดิร์น ก็จะได้ลุคที่ทั้งอบอุ่นและมีเอกลักษณ์ เหมาะกับสาวๆ ที่ชอบความโรแมนติกแบบคลาสสิก

7. รองเท้าแบบแมรี่เจนและบัลเล่ต์แฟลต

รองเท้าทรงบัลเล่ต์และแมรี่เจนกำลังเป็นกระแสในปีนี้ เพราะใส่สบายแต่ยังคงความสวยหวานในแบบผู้หญิง ไม่ว่าจะใส่กับกางเกงยีนส์ หรือเดรสก็เข้ากันอย่างลงตัว
แนะนำให้เลือกสีเบจ ดำ หรือพาสเทล เพื่อให้ใช้งานได้บ่อย และเข้ากับหลายลุค หากอยากเพิ่มความเท่ ลองเลือกดีไซน์หัวเหลี่ยม หรือแบบที่มีสายรัดข้อเท้าเสริมลูกเล่น

ปี 2025 คือการผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความสดใหม่ สาวๆ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งตู้เสื้อผ้า แค่เลือกไอเท็มที่ใช่และเป็นตัวเอง ก็สามารถสนุกกับการแต่งตัวในแบบของคุณได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ลุคของคุณจะโดดเด่นแบบมีสไตล์เสมอ

หากใครต้องการเรียนในสายแฟชั่น สามารถปรึกษาพี่ๆ DP-Education ได้เลย

เบื้องหลังเสื้อผ้าสุดล้ำบนเวทีเดินแบบ และเทรนด์ที่พลิกวงการแฟชั่นโลกในแต่ละยุค ล้วนมีชื่อของ “ดีไซเนอร์” เป็นผู้กำหนดทิศทาง หากไม่มีพวกเขา แฟชั่นอาจไม่กลายเป็นศิลปะที่สะท้อนตัวตน ความคิด และวัฒนธรรมได้อย่างลึกซึ้งเช่นทุกวันนี้ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ ทั้ง 5 ท่านระดับตำนาน ที่ไม่ได้แค่สร้างสไตล์ให้กับเสื้อผ้า แต่ยัง “เปลี่ยนวงการแฟชั่น” ไปตลอดกาล

ไปทำความรู้จักเหล่าดีไซเนอร์กัน

Coco Chanel
ผู้หญิงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าผู้หญิงไปตลอดกาล Coco Chanel ปลดปล่อยผู้หญิงจากคอร์เซตที่รัดแน่น สู่อิสระแห่งแฟชั่นที่เรียบง่ายแต่สง่างาม เธอคือผู้ให้กำเนิดเสื้อแจ็กเก็ตทวีด ชุดเดรสสีดำ (Little Black Dress) และน้ำหอม Chanel No.5 อันโด่งดัง Chanel ไม่ได้ขายเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ขายแนวคิด “ผู้หญิงสมัยใหม่”

Yves Saint Laurent
YSL คือคนที่กล้าและเปลี่ยนขนบเดิม ๆ ของแฟชั่น เขาคือคนแรกที่นำเสื้อผ้าสไตล์ผู้ชายอย่าง “ชุดสูท” มาให้ผู้หญิงสวมใส่ได้อย่างทรงพลัง ผ่านไอเท็มดังอย่าง Le Smoking Suit งานของเขาสะท้อนทั้งความหรูหรา ความมั่นใจ และความเท่าเทียม

Alexander McQueen
หากพูดถึงแฟชั่นที่ทั้งดิบ ดาร์ก และเปี่ยมด้วยศิลปะ Alexander McQueen คือนักออกแบบที่ทำให้เวทีเดินแบบกลายเป็นเวทีละครแฟชั่น เขาใช้ความกล้าในการพูดถึงประเด็นสังคมผ่านการออกแบบ เช่น ความตาย ความรุนแรง หรือธรรมชาติ ผลงานของเขามักทิ้งความรู้สึก “ว้าว” เสมอ และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ทั่วโลก

Rei Kawakubo
ชาวญี่ปุ่นจากแบรนด์ Comme des Garçons ที่เปลี่ยนมุมมองของแฟชั่นแบบ “ดั้งเดิม” Rei Kawakubo มักออกแบบเสื้อผ้าที่ดูผิดรูปทรง ผิดขนบ แหวกกรอบ ทำให้แฟชั่นกลายเป็นพื้นที่ทดลองที่ไร้ขีดจำกัด เธอเป็นหนึ่งในนักออกแบบที่กล้าท้าทายแนวคิด “ความสวยงาม” แบบเดิม ๆ

Virgil Abloh
อดีต Creative Director แห่ง Louis Vuitton และผู้ก่อตั้งแบรนด์ Off-White เขาคือคนผิวสีคนแรกที่ได้ครองตำแหน่งสูงสุดในแบรนด์หรูของยุโรป Virgil ผสมผสานสตรีทแฟชั่นกับโลกไฮเอนด์ได้อย่างลงตัว สะท้อนความคิดสร้างสรรค์แบบยุคใหม่ ที่แฟชั่นไม่จำเป็นต้องอยู่บนเวทีเท่านั้น แต่อยู่บนถนนก็ได้

ทั้ง 5 คนนี้ไม่เพียงแค่สร้างเสื้อผ้า แต่สร้างวัฒนธรรม และเปลี่ยนวิธีที่คนทั้งโลกมองแฟชั่น พวกเขาคือแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ว่าแฟชั่นไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่คือการสื่อสาร สะท้อนอัตลักษณ์ และสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง

และ ถ้าอยากรู้ว่า อาชีพนี้ต้องเรียนอะไรบ้าง ก็สามารถเข้าไปหาคำตอบได้จากบทความ อยากเป็นดีไซเนอร์ ต้องเรียนคณะอะไร ได้เลย หากอยากได้ข้อมูลเรื่องคณะ สถาบัน กรือ ปรึกษาการเรียน สามารถติดต่อหา พี่ๆ DP-Education ได้เลยค่ะ

ไม่ว่าจะเป็นนางแบบมือใหม่หรือสายแฟชั่นตัวจริง คำว่า “เดินแบบ” มักจะเป็นเป้าหมายหนึ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะเวทีเหล่านี้ไม่ใช่แค่การโชว์เสื้อผ้า แต่ยังเป็นพื้นที่โชว์พลัง ความมั่นใจ และศิลปะของแฟชั่นระดับโลก พร้อมทั้งเป็นจุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่ที่กำหนดทิศทางวงการแฟชั่นในแต่ละปี

เวทีเดินแบบจัดขึ้นที่ไหนบ้าง

1. Paris Fashion Week
   

จัดขึ้นปีละ 2 ครั้งในช่วงเดือนมีนาคม (Fall/Winter) และกันยายน (Spring/Summer) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส Paris Fashion Week ถือเป็นเวทีสูงสุดของวงการแฟชั่นโลก แบรนด์ไฮเอนด์ระดับตำนานอย่าง Chanel, Dior, Louis Vuitton, Givenchy และ Balmain ต่างใช้เวทีนี้ในการเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แฟชั่นนิสต้าทั่วโลก

บุคคลสำคัญของเวทีนี้ เช่น

Virginie Viard (Creative Director ของ Chanel)

Maria Grazia Chiuri (Dior)

Anna Wintour (บรรณาธิการ Vogue) ซึ่งมักปรากฏตัวแถวหน้า

นอกจากการแฟชั่นโชว์แล้ว ยังมีงานปาร์ตี้ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ และการรวมตัวของเหล่าเซเลบริตี้ที่ทรงอิทธิพลในวงการอีกมากมาย

2. Milan Fashion Week
   

Milan Fashion Week จัดขึ้นโดย Camera Nazionale della Moda Italiana โดยทั่วไปจะมีขึ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์และกันยายนของทุกปี เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เป็นศูนย์กลางของแฟชั่นหรูที่ผสมผสานศิลปะและวัฒนธรรมอย่างลงตัว

แบรนด์เด่นที่ไม่เคยพลาดเวทีนี้ ได้แก่

Gucci, Versace, Prada, Fendi, Dolce & Gabbana

จุดเด่นของ Milan Fashion Week คือความหรูหรา กล้าทดลอง และกลิ่นอายของวัฒนธรรมอิตาเลียนแบบคลาสสิก นักออกแบบชื่อดังอย่าง Donatella Versace และ Miuccia Prada ถือเป็นแรงบันดาลใจของนักออกแบบทั่วโลก

3. New York Fashion Week
   

จัดขึ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์และกันยายนของทุกปี New York Fashion Week คือเวทีที่เปิดกว้างที่สุดในโลกแฟชั่น ด้วยความหลากหลายทั้งในเรื่องของนางแบบ เชื้อชาติ รูปร่าง และแบรนด์ที่เข้าร่วม ทั้งระดับโลกและดีไซเนอร์หน้าใหม่ที่น่าจับตา

แบรนด์หลักที่มักปรากฏบนเวทีนี้ ได้แก่

Tommy Hilfiger, Michael Kors, Marc Jacobs, Ralph Lauren

ดีไซเนอร์รุ่นใหม่อย่าง Christian Siriano มักใช้เวทีนี้เป็นพื้นที่โชว์คอนเซ็ปต์แปลกใหม่และการออกแบบที่ก้าวล้ำ New York Fashion Week ยังเป็นเวทีเปิดตัวของนางแบบดังระดับโลกหลายคน เช่น Gigi Hadid และ Kaia Gerber

เวทีเดินแบบระดับโลกไม่ใช่แค่พื้นที่แสดงแฟชั่น แต่มันสะท้อนวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และพลังของศิลปะที่ผสมผสานเข้ากับเสื้อผ้าได้อย่างลงตัว หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักแฟชั่น การติดตามเวทีเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มของโลก และอาจเป็นแรงบันดาลใจให้คุณกล้าที่จะเดินออกไปในสไตล์ของตัวเอง

DP-Education สถาบันที่จะช่วยให้ทุกคนที่มีฝันด้านแฟชั่น ได้พบกับหลักสูตรที่ถูกใจ และ สถาบันที่ใช้
สามารถทักเข้ามาปรึกษา พูดคุยแนวทางการเรียนได้นะคะ