พบกับคอลัมน์พิเศษ “Q&A with DA Alumni หรือ DA Thailand” ของศูนย์ข้อมูลการศึกษาสถาบันโดมุส (Domus Academy) ประจำประเทศไทยได้แล้วที่นี่! DA Thailand ได้ทำการสัมภาษณ์ศิษย์เก่าที่จบการศึกษาจากสถาบันชั้นนำสายแฟชั่น ศิลปะ และการออกแบบ ในหลากหลายสาขา ซึ่งนักเรียนรุ่นต่อไปที่กำลังจะไปเรียนต่อสถาบันโดมุสจะได้รู้ถึงทุกเรื่องราวในหลายเเง่มุมแบบ Exclusive อาทิ
คอลัมน์ Q&A with DA Alumni ครั้งที่นี้ คุณจะได้พบกับ “บิ๊ก” อิทธิณัฐ ปาลโมกข์ นักเรียนทุนอันดับที่ 4 หลักสูตรปริญญาโท จากสาขา Urban Vision & Architectural Design ไปติดตามเเละอ่านเรื่องราวของบิ๊กกันได้เลย!
DA Thailand: โปรเจกต์ที่ได้ทำตอนเรียนแล้วชอบที่สุด ?
บิ๊ก: สำหรับผมแล้ว ประทับใจ ตื่นเต้น และสนุกกับโปรเจกต์แรกที่สุด ทุกคนคงรู้จักกับรถ F1 หรือ แบรนด์ Ferrari กัน ซึ่งถือว่าโด่งดังและมีประวัติศาสตร์มากมายกับประเทศอิตาลี เป็นจุดกำเนิดของรถที่มีความเร็ว เป็นความฝันของหลาย ๆ คนที่อยากมีไว้ครอบครอง
ใช่ครับ! สปอนเซอร์ของโปรเจกต์นี้คือ Ferrari ผมต้องขอเล่าก่อนว่าจริง ๆ แล้วโปรเจกต์นี้จะพ่วงมากับ Workshop ครั้งก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นหัวข้อที่เน้นไปในเรื่อง Research หา Site ที่จะวางตัวโปรเจกต์ตัวนี้ลงไป หรือเรียกว่า Urban Visual Design แต่ตัวผมเองเข้ามาใน Part ของ Architectural Design ในรอบที่ผมเข้านั้นก็มีเพื่อนต่างชาติเข้ามาพร้อมกันเป็นจำนวน 4 คน เท่ากับว่าเด็กใหม่ 5 คนนี้จะยังไม่ได้ไปทำ Research อะไรมากมายหรือไปออก Trip เพื่อ Research ทาง Domus จึงจองตั๋วรถไฟและไกด์เพิ่มเติมให้และส่งพวกเราไปที่เมือง Modena ซึ่งเป็นเมืองก่อตั้งบริษัท Ferrari รวมถึงเป็นเมืองบ้านเกิดของ Enzo Ferrari ผู้ก่อตั้ง Ferrari อีกด้วย ในเมือง Modena จะมีมิวเซียมของ Ferrari อยู่ทั้งหมด 2 แห่ง คือ Museo Ferrari และ Enzo Ferrari Museum ในมิวเซียมจะมี Exhibition เกี่ยวกับเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ ตั้งแต่สมัยเริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน รวมถึงจัดพื้นที่โชว์รถรุ่นต่าง ๆ และ Museo Enzo Ferrari เป็นอีกหนึ่งมิวเซียมที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ Ferrari แต่จะเน้นไปทางด้านประวัติและการทำงานของ Enzo การที่ Domus ได้พาออกไปเปิดโลกครั้งนี้ ผมได้ซึมซับประวัติศาสตร์และแรงบันดาลใจจากเเบรนด์ Ferrari มากมาย
Brief ที่ทาง Ferrari อยากให้ผมเเละเหล่านักเรียนออกแบบโปรเจกต์พิเศษขึ้นมา คือการออกเเบบสวนสนุกของ Ferrari เป็นรูปเเบบ Theme Park ที่ Shanghai ประเทศจีน ตัวโปรเจกต์เองไม่ได้ปิดกั้นว่าสวนสนุกนี้จะมีเครื่องเล่นธรมมดา ๆ ตามสวนสนุกทั่วไปรึป่าว พวกเราจึงตัดสินใจค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มอีกนิดว่า Ferrari มีจุดเด่นทางการตลาดอะไรอีกบ้างนอกนอกรถยนต์ และเราก็ไปเจอกลุ่มตลาดใหม่ที่น่าสนใจและสอดคล้องกับคนเอเชีย คือคนจีนนั้นก็คือ Gamer ตัวฉกาจ เด็กวัยรุ่น ส่วนใหญ่ให้ความสนใจและลงทุนกับการเล่นเกมส์เพิ่มมากขึ้น พวกเราจึ้งเห็นโอกาสในการเพิ่มจำนวนผู้ที่จะเข้าเล่นสวนสนุกรูปแบบใหม่นี้ เราจึงนำเครื่องเล่นในสวนสนุกให้มีการแข่งขันที่มีความเกี่ยวข้องกับเกมส์ เพิ่มความน่าสนใจและเพิ่มความตื่นเต้น
พอถึง Part ที่ต้องออกแบบพวกเราได้นำคอนเซ็ปท์ที่มาจากตัวรถและภูมิศาสตร์ของเมืองมารวมกัน จึงเกิด Idea Concept เพื่อสร้าง Landscape ขึ้นมาให้สอดคล้องกับภูเขา ทิวเขา ของเมืองและมีการแข่งรถ และสวนสนุกซ้อนอยู่ในหุบเขาแห่งใหม่นี้
โปรเจกต์นี้จึงเป็นก้าวแรกที่มาเรียนที่อิตาลี นอกจากตัวเนื้อหาที่ตื่นเต้นแล้วยังเป็นการทำงานกลุ่มกับเพื่อนอต่างชาติเป็นครั้งแรก ซึ่งผมได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แนวคิดเเละการทำงาน จึงทำให้โปรเจกต์นี้ได้รับรู้อะไรใหม่ๆ มากกว่าแค่การเรียน
DA Thailand: ประสบการณ์ในโรงเรียนที่ประทับใจที่สุด ?
บิ๊ก: Domus เป็นโรงเรียนที่มีหลักสูตรการเรียน การทำงานกันเป็นกลุ่ม เพราะฉะนั้นพวกเราจึงต้องทำงานเป็นทีมเวิร์ค ต้องสื่อสารจนกว่าจะเข้าใจกัน แบ่งงาน แบ่งหน้าที่ จัดสรรค์เวลาที่จะมารวมกลุ่มกันได้ เพื่อน ๆ ในกลุ่มผมไม่ค่อยจะมีการแยกกันทำงานเลย เพื่อที่จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดหรือเข้าใจไม่ตรงกัน คอยนั่งทำอยู่ด้วยกัน เพื่อนนอกกลุ่มก็ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะแข่งขันกัน พวกเราจึงพร้อมแชร์ข้อมูลและช่วยเหลือกันตลอด จากประสบการณ์ที่เคยต้องทำงานกลุ่มที่ไทย ทุกคนแย่งกันออกความคิดเห็น แย่งกันเป็นหัวหน้าจนทำให้การทำงานไม่ราบลื่น ซึ่งตอนมาเรียนที่นี่ก็นึกว่าจะเจอเหตุการณ์คล้ายกันและอาจจะยากกว่าเดิมด้วยเรื่องภาษา แต่กลับกันหมดเลย ที่นี่สอนให้เข้ากับกลุ่ม สอนให้ฟังกัน ช่วยกันออกความคิดเห็น โดยอาจารย์ของแต่ละโปรเจกต์จะคอยมีหน้าที่ถามความคืบหน้าในการทำงานของเด็ก ๆ อยู่ตลอดเวลา ใครทำอะไร ส่งเมื่อไหร่ นอกเหนือจากการตรวจแบบ
DA Thailand: สังคม เพื่อน และคุณครู ที่สถาบัน เป็นยังไงบ้าง ?
บิ๊ก: ผมเชื่อว่าเพื่อน ๆ นักเรียนน่าจะเป็นประสบการณ์ที่สำคัญที่สุดในการมาเรียนต่อ หรือมาอยู่ต่างประเทศก็ตาม สังคมเพื่อนที่ได้จาก Domus ที่ผมเจอมากับตัวถือว่าดีมากและพร้อมที่จะเปิดใจยอมรับซึ่งกันและกัน ไม่ค่อยมีการแบ่งแยกเท่าที่คิดไว้ ต้องบอกก่อนว่าตัวผมเอง เป็นคนขี้อาย แล้วยิ่งการสื่อสารเป็นภาษอังกฤษ คือถ้าไม่จำเป็นตอนอยู่ที่ไทยก็แทบจะไม่ได้ใช้เลย ตอนก่อนไปเรียนก็มีกังวลนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ว่ากลัวจะไม่เข้าใจเนื้อหาการเรียน แต่กังวลเรื่องการเข้าสังคมกับเพื่อน ๆ แต่พอเอาเข้าจริง ด้วยดวงและจังหวะผมว่า ผมอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ใจดีและรับฟัง ถึงจะมารู้ตอนหลังว่าเพื่อนๆก็แอบเมาท์ผมบ้างนิดหน่อย แต่โดยรวมคือดีมาก เป็นประสบการณ์ที่ได้มากกว่าในห้องเรียนก็มาจากเพื่อน ๆ นี่แหละ ที่เราได้ไป Hang Out ด้วยกัน ไปเที่ยวต่างเมือง เดินดูงานตามเมือง เช่น Milan Design Week ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด
ในส่วนของอาจารย์ผู้สอนทุกคนก็พร้อมที่รับฟัง และคอยหาวิธีช่วยแก้ปัญหาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโปรเจกต์ เพื่อนในกลุ่ม หรือ เรื่องหาที่ฝึกงานก็ตาม มีอะไรสงสัยสามารถเดินเข้าไปถามได้เหมือนเพื่อนเลย เป็นกันเองมาก ๆ ครับ
DA Thailand: Facility ของโรงเรียนมีอะไรบ้าง ชอบอันไหนที่สุด ?
บิ๊ก: พูดถึง Facility ที่ Domus เตรียมให้ถือว่าครบและสะดวกมาก พอกับจำนวนนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด ร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียน ปริ้นเตอร์ ช็อปไม้ 3d Printing และ Laser Cut ห้องเรียนที่นั่น เรานั่งทำงานได้ทั้งวัน หน้าต่างที่เปิดโล่งได้แสงธรรมชาติ สบายตาสามารถมองออกไปไหนต่อไหนได้เมื่ออยากพักตาที่ Domus ไม่ได้มีห้องไว้สำหรับทำงานโดยเฉพาะ แต่ในแต่ละวันจะมีตารางบอกชัดเจนว่าห้องไหนว่างเวลาไหนห้องเรียนถูกใช้อยู่ เพราะฉะนั้นจะมี อยู่ 2-3 ห้อง ต่อวันที่จะว่างอยู่ เด็กนักเรียนที่ไม่มีคาบเรียนแต่ต้องมานั่งทำงาน ก็จะมารวม ๆ กันอยู่ในห้องเหล่านั้น ทำให้พบเจอเพื่อนใหม่ ๆ จาก สาขาอื่น ๆ ด้วย ถ้าถามว่าชอบ Facility ไหนมากที่สุดคงเป็นห้อง 3d Printing กับ Laser Cut ที่มีการจองคิวอย่างเป็นระบบ ไม่สามารถเดิน Walk In เข้าไปได้เลยเพื่อป้องกันการแซงคิว ส่วนเครื่องมือและอุปกรณ์ก็ครบครัน ตัดได้ทุกชนิด จำนวนเครื่องก็พอต่อความต้องการและที่สำคัญไม่เสียเงินเลย ไม่ว่าจะตัดกี่ครั้งก็ตาม