
ส่วนเปิดแท็ก
พบกับคอลัมน์พิเศษ “Interview with I’m Thai Alumni หรือ IM Thailand” ของศูนย์ข้อมูลการศึกษาสถาบันอิสติตูโต้มารังโกนี่ (Istituto Marangoni) ประจำประเทศไทยได้แล้วที่นี่! IM Thailand ได้ทำการสัมภาษณ์ศิษย์เก่าที่จบการศึกษาจากสถาบันชั้นนำสายแฟชั่น ศิลปะ และการออกแบบ ในหลากหลายสาขา ซึ่งทุกคนจะได้ฟังประสบการณ์ในทุกเเง่มุมแบบ Exclusive อาทิ
IM Thailand: โปรเจกต์ที่ได้ทำตอนเรียนและที่ชอบที่สุด ?
ส้ม: เลือกยากมากเลยค่ะ จริง ๆ ชอบทุกอันเลย เพราะว่าโปรเจกต์แต่ละอันที่ได้ Assign มา มันหลากหลายและแตกต่างกันมากเลย อย่างตอน Pre-Sessional ตอนนั้นจำได้ว่าให้ออกแบบชุดบัลเล่ต์ ส่วนตอนเรียนก็มีทั้งได้รับ Brief จากแบรนด์ชื่อดังของอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น “Richard Nicoll” หรือ “Burberry” มันสนุกและท้าทายมากจริง ๆ เพราะว่าตัวแบรนด์เองเขาเข้ามาบรีฟเองและวิจารณ์งานเราด้วย แต่เพราะว่าความชอบส่วนตัวอาจจะชอบเรื่อง Styling เป็นหลัก (ซึ่งตอนนั้นปีที่เรียน ยังไม่มี Master ด้านนั้น) เลยจะชอบตอนที่สอนให้วิเคราะห์เทรนด์ตามแบบ WGSN (World Global Style Network เครื่องมือช่วยคาดการณ์แนวโน้มหรือเทรนด์โลก) ซึ่งจำได้ว่ามันเป็นอะไรที่สนุกมาก คือการวิเคราะห์เทรนด์แฟชั่นในซีซั่นนึง เราไม่ได้อิงจากแค่เรื่องแฟชั่น คือมันคือ Lifestyle มากกว่า ตั้งแต่อาหาร การกิน เพลง เทคโลโลยี ศิลปะ สถาปัตยกรรม หรือว่าหนังที่กำลังจะเข้าโรง มันเป็นการวิเคราะห์ภาพรวม โดยใช้ Element ต่าง ๆ รอบตัวมาวิเคราะห์
จำได้ว่าชอบโปรเจกซ์นี้มาก ๆ เป็นการให้เราเปิดรับสิ่งรอบตัว ได้ลองอะไรใหม่ๆ แม้แต่การไปลองชิมอาหารร้านที่มีคอนเซปท์น่าสนใจ อย่าง Tramshed ที่มี Sculture งานของ Damien Hirst อยู่กลางร้านและจะมีเมนูแนะนำอย่าง Chicken & Steak และชอบเข้า Museum มาก หรือแม้กระทั่งเพลงหรือวัฒนธรรมใต้ดินหรือว่า Clubbing ทุกอย่างมันรวมมาเป็น Lifestyle ที่จะช่วยกำหนดและวิเคราะห์เทรนด์ ๆ นึงมาได้ ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละซีซัน มันไม่ได้มีแค่ 1 เทรนด์ ดังนั้นงานเยอะมาก ทำให้เราได้ Explore London ไปในตัวด้วยค่ะ และสามารถนับมาประยุกต์ใช้ได้กับปัจจุบันเป็นอย่างมากด้วย
IM Thailand: ประสบการณ์ในโรงเรียนที่ประทับใจที่สุด ?
ส้ม : อย่างแรกคือ ชอบ Location และชื่อถนนที่ตั้งของโรงเรียน คือแคมปัสที่ลอนดอนจะตั้งอยู่บนถนนที่ชื่อว่า Fashion Street ตรง Brick Lane ที่ถือว่าอยู่ใน East London คือส่วนตัวแล้วส้มจะชอบฝั่ง East มากส้มมีความสนใจใน Street Culture ส้มพักอยู่แถว Dalston ในตอนนั้น เพราะว่ามันเต็มไปด้วย Culture ศิลปะ ผู้คนบนถนนมากมายที่ชอบด้าน Street Culture และ Street Fashion เช่นเดียวกัน โดยแต่ละคนมีเอกลักษณ์ของตัวเอง แค่มองคนเดินผ่านไปมาก็ได้ Inspiration เยอะทีเดียว ส่วนการตกแต่งของแคมปัสก็มีผลต่อการสร้างงานด้วย เนื่องจากการออกแบบแคมปัสที่โมเดิร์น มี Space เปิดกว้าง Connect ถึงกัน มันทำให้เราหัวลื่นนะ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มีผลมากค่ะ ส่วนเรื่องการเรียนการสอนคือที่นี่จะมี Guest Speaker จากแบรนด์มาคุยกะเรา ทำให้เรารู้ถึงประสบการณ์ทำงานในด้านแฟชั่นจริงจังของที่ลอนดอน
IM Thailand: สังคม เพื่อน และคุณครู ตั้งแต่ตอนเรียนจนถึงเรียนจบ ?
ส้ม: จะบอกว่าสังคมที่นี่แหละที่สำคัญมาก ตอนแรกที่ไปเรียนที่นั่น เรายังติดวัฒนธรรมการเรียนการสอนแบบไทย แรก ๆ เราจะไม่กล้าถาม ไม่กล้าแสดงออกความคิดเห็นเท่าไรนะ แต่ด้วยเพื่อนในห้องด้วย ซึ่งตอนนั้นเราถูกจัดไปอยู่ที่ห้องที่มีแต่คน Top ของ Class คือทุกคนเขาเก่งมาก ๆ มันมีส่วนกระตุ้นให้เราว่า เราต้องทำให้ได้เหมือนกัน ส่วนการเรียนการสอนเป็นแบบครูจะมาแค่บรีฟเลยจริง ๆ แล้วปล่อยให้ทำงานเลย ซึ่งตอนแรกเหวอ ๆ อยู่ เหมือนต้องค้นคว้าเริ่มเองทุกอย่าง แต่จุดนี้ละที่ทำให้เราต้องขวนขวายเองนะ ซึ่งมันเป็นข้อดีของการได้มาเรียนที่นี่เลย จากเราที่เป็นเด็กที่ Rank ท้าย ๆ ของห้อง แต่เพราะด้วยเรามีเพื่อนเก่ง ๆ รอบตัว คือเขาไม่ได้แข่งขันกับเรานะ เขากลับช่วยแนะนำและช่วยกระตุ้นกันทำงาน ตอนจบเลยจบมาได้ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ซึ่งเราภูมิใจมาก บางคนอาจจะคิดว่าเรียนที่นี่แล้วสบาย อยากบอกว่าคิดผิดค่ะ ที่นี่ระบบเช็คชื่อเข้มงวดมาก ถ้าขาดไม่กี่ครั้งหรือหมดสิทธิ์สอบไปเลย ใครจะคิดว่าเรียนแฟชั่นแล้วสวย ๆ ต้องคิดใหม่นะคะ พวกเราเรียนกันหนักมาก 3 เทอม คือระหว่างเทอมบางทีหยุดแค่ 7 วันเท่านั้น ถือว่าคิดถูกที่มาเรียนที่นี่
ส่วนเรื่องเพื่อนและคุณครูคือสนิทกันมาก เพราะว่าเจอกันบ่อย ตอนนี้กับเพื่อน ก็ยังติดต่อกันอยู่ค่ะ คอร์สที่เรียนของส้มจะมีเพื่อนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ มีคนไทยแค่ 2 คน (รวมส้มด้วย) เพื่อนก็เปิดแบรนด์ หรือบางคนก็ทำงาน Stylist ในประเทศเขา เป็นอาจารย์ก็มี บางครั้งมีโอกาสกลับไปโรงเรียน ยังแวะไปทักทายอาจารย์เลยค่ะ
IM Thailand: Facility ของโรงเรียนมีอะไรบ้าง ชอบอันไหนท่ีสุด ?
ส้ม: เราชอบเข้าห้องสมุดของที่โรงเรียนมาก เอาจริง ๆ มันไม่ใหญ่มากนะ แต่ว่ามันมีหนังสือแฟชั่น และ Art ต่าง ๆ ครบมาก ๆ มีคอมที่สามารถ Access WGSN ต่าง ๆ คือกลายเป็นคนขยันไปเลย มีหนังแฟชั่นให้ยืมกลับบ้านไปดู และนิตยสารต่าง ๆ มากมาย จริง ๆ มีห้องเย็บผ้าด้วย แต่เนื่องจากเราเรียนโท เขาจะสอนให้ว่าเมื่อเราไปทำงานให้แบรนด์ เราควรจะต้องปฏิบัติและเข้าใจในตัวแบรนด์ ในด้าน Branding & Marketing ดังนั้นเราเลยจะใช้ห้องสมุดในการค้นคว้าและปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ คือจะเรียนแค่ Design ด้านเดียว สมัยนี้มันไม่พอแล้ว มันต้องรู้เรื่องการสร้างแบรนด์ เราถึงจะอยู่รอด ดังนั้นห้องสมุดตอบโจทย์มากค่ะ
IM Thailand: ได้ฝึกงานกับบริษัทอะไรหลังเรียนจบ ?
ส้ม: ตอนเรียนจบไม่ได้ฝึกงานกับที่ไหนค่ะ เพราะว่าส้มเลือกที่จะไปลงเรียนคอร์สสั้น ๆ เพิ่ม เพื่อเอามาเสริมกับที่ตัวเองเรียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Photography หรือ Visual Merchandising แต่มีช่างภาพนิตยสารที่ลอนดอนชวนไปทำ Styling ให้เขาเลยค่ะ ซึ่งตอนนั้น เรายังไม่รู้ตัวเองมากด้วยซ้ำว่าเราถนัดด้านนี้ แต่เพราะว่าตอนเรียนได้ทำโปรเจกต์แล้วถ่ายทอดมาออกมาในแบบของ Visual (Styling) เขาเลยเห็นความสามารถเราค่ะ เคยไปช่วยพี่แคนดี้ รจนาธร ณ สงขลาที่ Rojanatorn London อยู่ช่วงนึง คือพี่ดี้จะให้ช่วยงานด้านศิลปะเป็นส่วนใหญ่ เรียนรู้เรื่องการประดิษฐ์งานและจัด Window Display ก่อนที่จะกลับมาไทยค่ะ
IM Thailand: ปัจจุบันทำงานอะไร ?
ส้ม: ปัจจุบันส้มเป็น Freelance Stylist & Film Photographer ค่ะ รวมถึงยังทำหน้าที่ Consult ให้กับ Soho House ในตำแหน่ง Bangkok Liaison ค่ะ ตอนที่อยู่ London Fashion ก็เป็น Visual Reporter ให้แมกาซีนที่นั่น และมีผลงานผ่าน Hypebeast, Fuuucking Young, Schon Magazine, Kaltblut Magazine เป็นต้น ส่วนที่ไทยก็ Sretsis, Franc Muller, Moto GP, Elle Magazine, Harper’s Bazaar, Club 21, Greyhound, Nike, Takara Wong อะไรประมาณนี้ค่ะ ส่วนตอนนี้ได้เริ่มทำงานศิลปะผ่านภาพถ่าย โดยแสดงงานอยู่ที่ ATT19 ร่วมกับศิลปินท่านอื่นๆ อีก 15 คนค่ะ