พบกับคอลัมน์พิเศษ “Q&A with DA Alumni หรือ DA Thailand” ของศูนย์ข้อมูลการศึกษาสถาบันโดมุส (Domus Academy) ประจำประเทศไทยได้แล้วที่นี่! DA Thailand ได้ทำการสัมภาษณ์ศิษย์เก่าที่จบการศึกษาจากสถาบันชั้นนำสายแฟชั่น ศิลปะ และการออกแบบ ในหลากหลายสาขา ซึ่งนักเรียนรุ่นต่อไปที่กำลังจะไปเรียนต่อสถาบันโดมุสจะได้รู้ถึงทุกเรื่องราวในหลายเเง่มุมแบบ Exclusive อาทิ
“ต้อง” ภานุพงศ์ ยังสว่าง ดีกรีศิษย์เก่านักเรียนทุนจากคณะ Master in Interior & Living Design ที่เคยไปศึกษาต่อสถาบันโดมุส เราไปติดตามเเละอ่านเรื่องราวของต้องกันได้เลย!
DA Thailand: โปรเจกต์ที่ได้ทำตอนเรียนแล้วชอบที่สุด ?
ต้อง: ต้องชอบผลงานโปรเจกต์ที่ 3 ชื่อ Experience Design : The Space In Between โครงการออกแบบพื้นที่ใช้สอยในส่วนโถงต้อนรับและส่วนประชุม ให้กับบริษัท Siemens Italia สาขาใหญ่ในมิลานโดยมีโจทย์ที่ต้องเเก้ คือ พื้นที่เดิมในปัจจุบันมีปัญหากับการเข้าออกของบุคคลภายนอกที่เข้ามาติดต่อกับทางบริษัท ซึ่งในอนาคตทางบริษัทมีโครงการที่จะย้ายสำนักงานไปยังอาคารใหม่ในพื้นที่ใกล้เคียง จึงอยากให้โปรเจกต์งานกลุ่มนี้ช่วยระดมความคิดเพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ให้กับ Siemens สาขามิลานแห่งนี้ “Collect the senses” จึงนำมาใช้ในเรื่องของการรับรู้ทางพื้นที่และความรู้สึกถึงบรรยากาศที่ดึงให้ผู้คนเข้ามาใช้บริการได้รู้จัก Siemens มากขึ้น แต่ยังคงเก็บรักษาระบบความปลอดภัยระหว่างผู้ใช้บริการและพนักงานในบริษัทตามลำดับการใช้งานขององค์กร
โปรเจกต์นี้เราไม่ได้ชอบเฉพาะที่ได้จับงานออกแบบภายในแต่เพียงอย่างเดียว แต่เนื่องจากเป็นโปรเจกต์ส่งท้าย ที่นักเรียน Master In Interior & Living Design ปี 2015 จะได้ทำงานร่วมกันมากที่สุดก่อนที่จะแยกย้ายไปเลือกทำโปรเจกต์เวิร์คช็อป กับนักเรียนสาขาอื่น ๆ ต่อไปครับ
DA Thailand: ประสบการณ์ในโรงเรียนที่ประทับใจที่สุด ?
ต้อง: นักเรียนสถาบันโดมุสจะมาจากต่างชาติ ต่างภาษา และต่างวิธีในการทำงาน เราได้มีการแลกเปลี่ยนแนวความคิดกันเพื่อมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน สิ่งนี้คือการเปิดโลกทัศน์ที่ดีมากอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากการมองว่าเราจะได้อะไรจากการเรียนที่สถาบันแห่งนี้ “มิลาน เป็นเมืองแห่งการออกแบบ ทุกอย่างมีปรัชญาอยู่ในตัวเอง ผู้คนให้ความสำคัญกับการออกแบบ ดังนั้นภาษาในงานออกแบบของอิตาลีนั้นจึงมีลักษณะที่ชัดเจน จัดจ้าน ทั้งรูปลักษณะ และสีสัน แม้กระทั่งงานแฟชั่นเองก็ตาม”
DA Thailand: สังคม เพื่อน และคุณครู ตั้งแต่ตอนเรียนจนถึงเรียนจบเป็นอย่างไร ?
ต้อง: พวกผมเเละเพื่อนๆได้เป็นนักเรียนรุ่นสุดท้ายของอาจารย์ผู้สอนประจำสาขาวิชาออกแบบภายใน ฟรานเชสก้า วาจิว (Francesca Vagiu) เรารู้สึกได้ถึงอาจารย์ผู้สอนทุกท่านนั้นที่มีความผูกพันกับเรียนในทุก ๆ รุ่น โดยเฉพาะนักเรียนไทยที่มาเรียนกับอาจารย์ผู้สอน ท่านได้ชื่นชมและพูดถึงในแง่ดีเสมอมา ความประทับใจของนักเรียนที่มาใหม่ จึงรู้สึกไม่เกร็งมากนัก เมื่อได้มาศึกษาต่อต่างประเทศ เพราะทางสถาบันและผู้สอนก็ได้ช่วยเราในการเลือกแผนการศึกษาในโปรเจกต์ทั้ง 4 เวิร์คช็อป ที่จะดูจากความสามารถของตัวเราตั้งแต่ก่อนเปิดภาคเรียน
DA Thailand: Facility ของโรงเรียนมีอะไรบ้าง ชอบอันไหนที่สุด ?
ต้อง: สตูดิโอเเละห้องเเล็ปของสถาบันเพราะถือว่าได้มาตรฐานในการทำงานมาก สถาบันคำนึงถึงความปลอดภัย และมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือในการทำงานตลอด รวมไปถึงการช่วยเราดูว่าควรใช้เครื่องมือประเภทใดให้ถูกต้อง การลงมือทำงานจริง ซึ่งจะช่วยให้เราทราบ Process หรือขบวนการในการทำงานจริง ว่าเราความวางแผนอย่างไรตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจกต์ทำงานออกแบบ
DA Thailand: ได้ฝึกงานกับบริษัทอะไรหลังเรียนจบ หรือ ช่วง Professional Experience ที่ต้องฝึกงาน 2 เดือน ?
ต้อง: ต้องได้ไปฝึกงานที่ DWA Studio ของ 2 นักออกแบบ เฟดเดอริค เด วอชเตอร์ (Frederik De Wachter) และ อัลเเบโต้ อาเตซานี่ (Alberto Artesani) ซึ่งได้รับโอกาสร่วมงานกับบริษัทชื่อดังต่าง ๆ ในการออกแบบ Milan Design Week ปี 2017 อาทิ Wallpaper Birkenstock และ Atelier Swarovski ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีในการทำงานระดับสากลและได้ร่วมกันสร้างผลงานออกเเบบให้เกิดขึ้นจริงและเผยแพร่สู่สาธรณะชนต่อไป
นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์พิเศษ ของการร่วมมือกันของ 2 สตูดิโอ ชื่อดัง DWA และ Urquiola ในการออกแบบห้องพักบนเรือสำราญระดับโลก Tui Cruise ด้วยเอกลักษณ์งานออกแบบพิเศษจากทั้ง 2 สตูดิโอ สู่ผลงานจริงที่นำพานักเดินทางจากทุกมุมโลกมาใช้บริการเดินทางข้ามทวีป
DA Thailand: ปัจจุบันทำงานตำเเหน่งอะไรเเละทำที่ไหน ?
ต้อง: ปัจจุบันทำงานตำแหน่ง Senior Designer ที่บริษัท Ong&Ong Design บริษัทสถาปนิกของสิงคโปร์ครับ
นอกจากนี้ผมยังมีธุรกิจเล็ก ๆ บาร์ลับย่านสุขุมวิท ชื่อว่า Copper Bar อยู่ที่โครงการ Raquet Club ถนนสุขุมวิทครับ ใครต้องการรู้ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่
https://www.facebook.com/copperbarbangkok/