“นอย” ธีรินทร์ พรพัฒนนางกูร Master in Visual Brand Design
DP Thailand: โปรเจ็กต์ท่ีได้ทําตอนเรียน เเล้วรู้สึกชอบที่สุด
นอย: จริงๆแล้วทุกๆ project จะมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไปค่ะ เรียกได้ว่าคนละขั้วเลย ตั้งแต่ Forevermark brand เครื่องประดับในเครือเพชรยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง De Beers, โรงแรม 6 ดาวอย่าง Park Hyatt, และ brand streetwear คู่เมืองมิลานอย่าง Bastard ซี่งทำให้ได้คิด ได้เจออะไรที่ท้าทายไปคนละแบบค่ะ แต่ถ้าให้เลือกว่าชอบที่สุดคงเป็น project สุดท้ายคือ project ที่ทำให้กับ Interni Magazine นะคะ Interni เป็น Magazine เกี่ยวกับ interia และ comtemporary design ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1954 โจทย์คือ การทำ Visual Brand Design ให้กับ Magazine นี้เพื่อฉลองครบรอบ 60 ปีในงาน Salone del Mobile (Design week ประจำปีของ Milan) งานนี้เป็นงานที่สนุกเพราะนอกจากทำให้เราได้เล่น brand identity เพื่อสื่อถึงการเฉลิมฉลองแล้ว สื่อที่ใช้ก็เป็นสื่อที่จับต้องได้อย่างหลากหลายแบบไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็น signage system, window display, map, merchandise ที่ขายในงาน และที่ขาดไม่ได้เลยคือสื่อ digital ทั้งในแง่ของการ display และการทำ application ค่ะ Project นี้จะเล่าเรื่องราวของ brand ผ่าน hand gesture ที่เป็นเสน่ห์คน Italian และ 60 ปีของ Interniค่ะ ใน event วันงานจะเน้นการมีส่วนร่วมของคนที่มาร่วมงานในมา interact กับแผนที่ display และapplication สามารถให้คนถ่ายรูปแล้วทำเป็นหน้าปก magazineในแบบฉบับของตัวเองด้วยนะคะ
นอกจาก project นี้จะได้คะแนนเต็มจากใน class แล้ว ยังได้รางวัล Silver Award Winner จาก International Design Award ในหมวด Corporate Identity Design อีกด้วยค่ะ
DP Thailand: ประสบการณ์ในโรงเรียน ประทับใจที่สุด
นอย: สิ่งที่ชอบมากๆ คือวิธีการเรียนการสอนของที่นี่ค่ะ ทั้ง 4 project จะได้รับโจทย์จากเจ้าของ brand หรือbrand manager ที่มาหาเราถึงโรงเรียนเลยนะคะ เพื่ออธิบายโจทย์และเล่าเรื่องราว รวมถึงประวัติความเป็นมาของ brand นั้นจากเค้าโดยตรง แต่ที่เจ๋งสุดๆไปกว่านั้นคือ 3 ใน 4 project นั้นเราได้ไปดูสถานที่จริง ไปทานอาหารที่ cafe ของ Park Hyatt เก็บบรรยากาศ 6 ดาวจริงๆ, ไปดูร้าน retail shop ของ Bastard ได้ไปสัมผัสถึงตำนาน streetwear ที่ยกเอา skate rink ไว้ในshop ให้สาวกของ brand มาเล่นได้ หรือไปดูสถานที่จัดงานครบรอบ 60 ปีของ Interni ที่ Università degli Studi di Milano เพื่อที่จะได้เข้าใจบรรยากาศและความรู้สึก ณ สถานที่นั้น ได้ลองสวมหมวกของ consumer เพื่อได้เข้าใจ insight ให้มากที่สุด ก่อนที่จะเริ่มทำ project ซี่งโอกาสนั้นทำให้เราเห็นภาพว่าเราจะออกเเบบ visual brand นี้อย่างไร เพื่อตอบโจทย์อย่างตรงจุดที่สุด เวลา present งานก็ไม่จบแค่ใน presentation บนหน้าจออย่างเดียว แต่ต้องทำ mock up ต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพให้ชัดเจนที่สุด ตอน presentงานก็ต้อง present กับคนที่มา brief งานเลย ตอนนั้นรู้สึกไม่เหมือนเป็นนักเรียนแล้ว แต่เหมือนได้ทำ project ให้กับ brand นั้นและได้บรรยากาศแบบ pitch งานลูกค้าจริงๆเลยค่ะ
DP Thailand: สังคม เพื่อน และคุณครูตั้งแต่ตอนเรียนจนถึงเรียนจบ
นอย: คนที่ขาดไม่ได้เลยที่ต้องพูดถึงจาก class of 2013/14 Master of Visual Brand Design คือ Stefano Cardiniค่ะ เค้าเป็น Course leader ที่ทำให้ประสบการณ์การเรียนสนุกและมีสีสันมากๆ ใน 4 project ทำเป็นงานกลุ่มทั้งหมด และ Stefano อยากให้ทุกคนรู้จักกันแบบไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมชั้นเรียน แต่เป็นเพื่อนร่วมงานกันให้ครบทั้งห้อง ทั้ง 4 project นี้เลยห้ามอยู่กลุ่มซ้ำ ทำให้เราได้รู้จักคนหลากชาติ หลายภาษา รวมทั้งประสบการณ์ และอายุที่แตกต่างกันออกไป ตอนนั้นskill การปรับตัวพุ่งปรี้ดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว, soft skill อย่าง team management หรือ communication skill พอมองกลับมา จริงๆก็เริ่มเรียนรู้จากที่นี่เลยค่ะ
DP Thailand: Facility ของโรงเรียนมีอะไรบ้าง ชอบอันไหนท่ีสุด
นอย: จริงๆได้สัมผัสกับ Facility ของ Domus Academy ตั้งแต่ก่อนไปเหยียบ Milan จริงๆด้วยซ้ำนะคะ ไม่ว่าจะเป็น Class introduction session ที่จัดกับ TCDC โดยให้ Stefano, course leader บินมาถึงไทยเพื่ออธิบาย course และ scolarship (เราโชคดีมากๆที่ส่งประกวดและได้ทุนการศึกษาช่วยออกค่าเรียนเราส่วนนึงด้วยค่ะ) หรือการสัมภาษณ์ face to face กับ Allan Brivio จุดนี้ทำให้เรารู้สึกว่าเค้าใส่ใจในการคัดเลือกและการทำความรู้จักกับนักเรียนมากๆ และที่ขาดไม่ได้จาก Domus เลยคือ Connection ที่กว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นสำหรับ Project ระหว่างภาคเรียน, Project งานประกวดต่างๆ ที่มีคนมาให้โจทย์ถึงโรงเรียนเลย ตอนนั้นมีโอกาสร่วมงานกับเพื่อนคนไทยอีกคน ส่งประกวดกับ Helena Rubinstein Mascara ชื่อดัง และ Perugina chocolate ที่ทุกคนชื่นชอบ (งานที่ส่งให้ Perugina ได้จัดแสดงที่งาน Salone del Mobile ปีนั้นด้วย ภูมิใจมากๆค่ะ) หรือ การทำ workshop ย่อยกับคน Italian เก่งๆ เช่น calligraphy class กับ Luca Fontana เจ้าของlogo ข้ามชาติอย่าง Wall Street English, Illustrator ชื่อดังอย่าง Olimpia Zagnoli หรือการได้สัมภาษณ์งานและฝึกงานกับบริษัทชื่อดังต่างๆใน Milanค่ะ
DP Thailand: ได้ฝึกงานกับบริษัทอะไรหลังเรียนจบ
นอย: ได้ฝีกงานกับ Corraini Edizioni สำนักพิมพ์หนังสือเด็กเก่าแก่ของ Italy หลายๆคนน่าจะเคยเห็น brand นี้เพราะ Kinokuniya หรือ Aisa Book ก็นำเข้ามาค่ะ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ทำงานกับเจ้าของ brand คือ Pietro Corraini โดยตรงเลยค่ะ ซึ่งเค้าไม่ได้ทำแค่สำนักพิมพ์อย่างเดียวนะคะ แต่เค้ามีหน้าร้านหนังสือของตัวเองอยู่ 3 สาขาในมิลาน และเค้ายังจัด Pop up store, exhibition, workshop หรือ event ต่างๆหมุนเวียนหน้าร้านอีกด้วย ตอนนั้นได้ช่วยเค้าทำสื่อต่างๆสำหรับใช้ในร้านหรือ event แถมยังให้โอกาสไปร่วมงานหนังสือเด็กประจำปีที่ Bologna ด้วย ตอนนั้นจริงๆโรงเรียนเค้าให้ฝึก 2.5 เดือน เราติดลมขอฝึกต่อไปเป็น 5 เดือน ทำ final thesis ไปฝีกงานไปด้วยค่ะ เป็นช่วงเวลาที่ได้มีโอกาสทำอะไรที่สนุกและหลากหลายในเวลาเดียวกันเลยค่ะ
DP Thailand: ปัจจุบันทำงานอะไรที่ไทยเเละเราเอาความรู้ที่เรียนจากโดมุสมาประยุกต์ใช้ ได้อย่างไรบ้าง
นอย: ตั้งแต่เรียนจบปุ๊บ กลับมาถึงเมืองไทย (โชคดีอีกแล้ว) อาทิตย์แรกก็ได้สัมภาษณ์งานและได้ offer ทันที กับ Super Union (Brand Union Bangkok) บริษัท Brand Consultancy ในเครือ Ogilvy ค่ะ ตอนนั้นถ้าอยากจะทำงานกับบริษัท Branding ครบวงจร ระดับ international คิดว่าที่ไทยน่าจะมีที่นี่ที่เดียวเลยนะคะ ทำอยู่ที่ Super Union 3 ปีเต็ม เรียกว่าทำงานตรงสายในสิ่งที่เรียนมาจริงๆค่ะ ได้ประสบการณ์และได้มิตรภาพที่ดีจากที่นี่อย่างเต็มอิ่ม ก็เริ่มรู้สึกว่าอยากลองผันตัวเองไปในสาย digital มากขึ้น กลัวว่าถ้าปรับตัวช้าเดี๋ยวจะตามไม่ทันแล้วจะโดน AI แย่งงานในเร็วๆนี้แน่ๆเลยค่ะ
ตอนนี้เลยมาเป็น consult ทางด้าน User experience/ User interface หรือ UX/UI designให้กับ application ทั้ง iOS/Andriod และ responsive website มาได้ 2 ปีกว่าๆ ให้กับ Accenture Interactive Thailandค่ะ (บริษัท Accenture เป็น Consultancy ระดับโลก 1 ในบริษัท Fourtune Global 500 ที่ตอนนี้หลายๆคนกำลังจับตามองอยู่เลยค่ะ) เรียกว่าประสบการณ์จากDomus เป็นสิ่งปูทางการเติบโตในสายงาน และปลูกฝังประสบการณ์การร่วมงานกับคนหลากชาติหลายภาษาจริงๆ ทำให้เราไม่พลาดโอกาสดีๆที่เข้ามาในชีวิตค่ะ
ค่าเล่าเรียนหลักสูตรปริญญาตรี | ประมาณ 16,000-28,000 ยูโรต่อปี ขึ้นอยู่กับคณะที่ เลือกเรียน |
ค่าเล่าเรียน Intensive | ประมาณ 26,000-28,000 ยูโรต่อปี ขึ้นอยู่กับคณะที่ เลือกเรียน |
ค่าเล่าเรียนปริญญาโท | ประมาณ 28,000 – 35,000 ยูโร ตลอดหลักสูตร |
ค่าครองชีพ ค่าที่พัก และค่าเดินทาง | ประมาณ 1,400-2,000 ยูโรต่อปี |